เส้นทางช่วงแรกยังเป็นถนนราดยางมะตอยอยู่ แต่พอเริ่มขึ้นเขาก็เป็นถนนลูกรังดินแดงสองข้างเป็นป่าไผ่สลับกับป่าเต็งรังไปเรื่อย ๆ ให้ผมมาคนเดียวกลางคืนเส้นนี้ก็คงต้องขอบอกว่ามาได้แต่ขอนิมนต์พระรูปท่านมาด้วย ยิ่งมาได้ทั้งวัดเลยยิ่งดี นับเป็นโอกาสดีที่ได้เดินทางมาเห็นกับตาตัวเอง กาญจนบุรี ทองผาภูมิ มันไม่ได้เล็กอย่างที่เคยคิด ความอุดมสมบรูณ์ยังมีอยู่มากถึงแม้จะถูกบุกรุกไปบ้างก็ตาม
เราออกจากเดินทางจากเกาะพระฤๅษีไปเส้นทางที่ทะลุออกบ้านห้วยเสือ เมื่อเราเดินทางมาได้ระยะหนึ่งด้วยเส้นทางที่ต้องขอบอกว่าถ้ามีรถออฟโรดการเดินทางจะสะดวกกว่า แวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตรงจุดชมวิว "เนินสวรรค์" แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ
พระเพื่อนทุกท่านโดยเฉพาะที่นั่งท้ายกระบะเมื่อเจอกระแทกเข้าไปเยอะ ๆ ก็ออกอาการเหนื่อยให้เห็นเช่นกัน โดยเฉพาะ "ท่านบอย" ปกติท่านเป็นคนผิวขาวอยู่แล้วแต่งานนี้ผมเองสังเกตุเห็นริมฝีปากท่านมันออกขาว ๆ ซีด ๆ ไปด้วย
เราใช้เวลาในการเดินทางกว่าจะทะลุออกมาที่ "บ้านห้วยเสือ" ไปกว่าสองชั่วโมง ด้วยสภาพของถนนที่ผ่านมาถือว่าทิดแก้วทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ บางช่วงเป็นทางระหว่างไหลเขาข้างทางเป็นเหว แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเราเจอ "รถกระบะขายกับข้าว" วิ่งสวนไปสองคันแสดงว่าโดยปกติก็มีรถใช้เส้นทางนี้อยู่เสมอ ๆ เมื่อคำนวณเวลาแล้วคงจะไปไม่ทันแน่นอนจึงตัดสินใจบอกทิดแก้วหันหัวออกทางบ้านทุ่งนางครวญ,บ้านทิพุเย,ผ่าน อบต.ชะแล แล้วออกมาทางบ้านเกริงกระเวีย เลี้ยวซ้ายตรงถนนใหญ่กลับเข้าท่าขนุน,ทองผาภูมิ มาถึงวัดท่าขนุนก็ประมาณเกือบห้าโมงยี่สิบมีเวลาให้เตรียมตัวก่อนสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายและทำวัตรเย็นคนละสี่สิบนาที งานนี้เหนื่อยไปตาม ๆ กันแต่ก็ประทับใจกันทุกคน ป่าไม้สีเขียว,ต้นไม้ใหญ่ "ธรรมชาติคือสิ่งที่รับรองความเป็นอยู่ของมนุษย์" น่าเสียดายที่ธรรมชาติในหลาย ๆ ส่วนของประเทศไทยเรามันด้อยค่าลงไปก็เพราะความไม่เอาใจใส่ของพวกเรากันเอง......
บนยอดเขาที่เป็นทุ่งราบชาวบ้านได้รับการส่งเสริมให้ปลูกยางพารา แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างร่องยางแต่ละแถวกับทางภาคใต้ก็คือว่า ทางภาคใต้ระหว่างร่องยางจะปลูกสัปปะรด แต่นี่เขาปลูกข้าวไร่ ดูแล้วสวยงามแปลกตาจึงขอให้ทิดแก้วหยุดรถแล้วก็รีบไปเก็บภาพประทับใจนี้มา