ไม่ว่าจะภาพพระหรือภาพกสิณอะไรก็ตาม ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นการปรุงแต่งของใจ เรียกว่าเป็นจิตสังขารอย่างหนึ่ง แต่เป็นจิตสังขารฝ่ายกุศล สร้างความดีความเจริญให้เกิดขึ้นกับใจของเรา
ยิ่งทรงสมาธิมั่นคงจนสามารถใช้อานุภาพของกสิณหรือว่าขยายภาพพระได้ ทำให้เล็กได้ กำลังใจของเราก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น กุศลผลบุญตรงนั้นก็มีมากขึ้น แต่ก็เป็นแค่กามาวจรกุศลเท่านั้น จะไปให้มากกว่านั้น ต้องอาศัยวิปัสสนาญาณเข้ามาช่วย พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะหลุดพ้นถึงจะมี
ดังนั้น..เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ตาม ถึงเวลาที่ท่านสอน ท่านจะปิดท้ายไว้เสมอ หลวงพ่อวัดท่าซุงจะให้เราเกาะพระนิพพานเป็นปกติ ส่วนพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรจะเห็นว่าทุกบรรพ ทุกตอน ถ้าหากว่าภาษาอังกฤษก็น่าจะเป็น chapter จะลงท้ายว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราจะไม่ยึดอะไร ๆ ในโลกนี้ นั่นคือการสรุปจบของแต่ละตอนเลย ก็แปลว่าถ้าทำดีทำถูก เราทำแค่นั้นก็บรรลุได้แล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2018 เมื่อ 03:12
|