พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องของการจับพระผู้ใหญ่กรณีเงินทอน เขารู้ว่าคดีไม่มีน้ำหนัก ก็เลยต้องเอาเรื่องอื่นมาตีด้วย อย่างเช่นว่าอยู่ ๆ มีหมอนวดอายุ ๕๐ กว่า ออกมาบรรยายขยายความว่าพระผู้ใหญ่เคยขอนอนด้วย จ่ายเงินให้ครั้งละสองหมื่นสามหมื่น อาตมาฟังแล้วก็ขำ เงินสองสามหมื่นไปหาสาวเอ๊าะ ๆ ที่ไหนก็ได้ จะไปหายายแก่อายุ ๕๐ กว่าไปทำไม ? แล้วเขาพูดแบบตีกินมากเลย คือไม่บอกว่าเป็นท่านใด ทำให้คนเข้าใจผิดว่าพระผู้ใหญ่ทั้งหมดนั่นแหละทำอย่างนี้ นี่คือลักษณะของการที่ออกข่าวให้เราเข้าใจไขว้เขวไป พยายามที่จะหาเรื่องหาราวจัดการพระให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ของพวกนี้เราฟังข่าวแล้วต้องรู้จักตรองด้วย สิ่งที่เขาออกข่าวคือสิ่งเขาอยากให้เรารู้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะรู้ เรื่องพวกนี้พอถึงเวลา ตำรวจ ทหาร สื่อมวลชน ก็จะมีเส้นที่เขาขีดให้เดินว่าต้องไปทางนี้ เราจะเห็นว่าตั้งแต่จับพระผู้ใหญ่สึกส่งเข้าคุกไป จะไม่มีรูปพระผู้ใหญ่ท่านใดที่เข้าคุกในลักษณะชุดนักโทษ ยกเว้นพุทธอิสระ เพราะว่าเขาต้องการจะแสดงว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ในลักษณะสองมาตรฐาน คือพุทธอิสระที่ถือว่าเป็นพวกเดียวก็โดนด้วย ตั้งใจแสดงให้ดู
ความจริงพุทธอิสระเป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะถ้าวิเคราะห์ดูแล้วมี ๒ สถานการณ์ด้วยกัน สถานการณ์แรกคือต้องสละตัวเองในลักษณะเอาเบี้ยไปแลกขุน อีกสถานการณ์หนึ่งถ้าหากว่าใช่ ก็คือลักษณะว่าดวงแตกแล้ว คือภาษิตจีนที่ว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” เรื่องตั้งนานเนกาเล ควรจะจัดการไม่จัดการ แต่มาจัดการเอาอีตอนนี้ เพราะว่าคดีความชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าการที่ตัวเองไปปิดสถานที่ราชการ ไปตั้งกรวยขวางใครข้ามไม่ได้ ใครโดนไม่ได้ หรือที่ไปกรรโชกทรัพย์โรงแรมเขา เป็นต้น
เรื่องพวกนี้ทำไมเพิ่งจะมาจับ ? ก็เพราะต้องการที่จะกลบข่าวส่วนอื่น เรื่องพวกนี้ทางทหารเป็นวิชาการอย่างหนึ่งเรียกว่า ข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรอง เขาจะให้เรารู้ในสิ่งที่อยากให้รู้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรที่จะรู้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2018 เมื่อ 08:57
|