ในเรื่องของพระธรรมยุตกับมหานิกายเท่าที่อาตมาพบมา ส่วนที่ท่านดีก็มีอยู่มาก ท่านที่ปฏิบัติถึงก็ไม่ได้มีความรังเกียจในพระมหานิกายเลย ส่วนท่านที่ปฏิบัติไม่ถึง แต่ว่าสร้างอาบัติ เพิ่มอาบัติให้แก่ตัวเอง ศีลขาดอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นอาตมาไปวัด ท่านพรรษาน้อยกว่า แต่ท่านก็ไม่กราบ ไม่ไหว้ ไม่ปฏิสันถารตามแบบของสามีจิกรรม ตามกิจวัตร วิธีวัตร อาคันตุกะวัตรที่พระพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ ก็แปลว่าท่านศีลขาดอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านคิดว่าท่านบริสุทธิ์กว่า ท่านไม่สามารถจะไหว้พระมหานิกายได้ นั่นแปลว่าแบกสักกายทิฐิและแบกมานะสังโยชน์ไว้เต็ม ๆ จัดเป็นสีลัพพตปรามาส คือการยึดมั่นในหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าคนอื่นเขา ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ อาตมารับประกันว่าเอาดีไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ว่าหลายท่านที่ท่านปฏิบัติเคร่งครัดเข้าถึง มีความรู้ว่าสภาพของธรรมชาติของบุคคลก็ดี หรือว่าหลักการของศีลพระก็ดี ไม่ได้อยู่ที่นิกาย แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมีการปฏิสันถารตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านให้เอาไว้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงภูมิธรรมในจิตในใจของท่าน ว่ามีการปฏิบัติที่สูงต่ำเพียงไร
ฉะนั้น...ในส่วนนี้ที่บอกเพื่อให้ญาติโยมเข้าใจว่า พระมหานิกายไม่เคยรังเกียจพระธรรมยุต แต่พระธรรมยุตมักจะตั้งข้อรังเกียจพระมหานิกายว่าไม่เคร่งครัด ไม่บริสุทธิ์เท่ากับท่าน ซึ่งกลายเป็นการแบกกิเลสเอาไปอวดคนอื่นเขา อาตมาเห็นทีไรก็สงสารท่านทุกครั้งว่า ถ้าท่านยังแบกกิเลสอยู่ลักษณะนี้แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ไปบอกไปกล่าวอะไร เพราะว่าเรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้าเราไม่เห็นโทษด้วยตนเอง เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ พอคนอื่นมาบอกกล่าว ถ้ารับไม่ได้ เกิดโทสะ ไม่พอใจขึ้นมา ก็กลายเป็นเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเองมากขึ้นไปอีก
อาตมาจึงถือคติว่า อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ การที่เราเอาไม้สั้น ๆ ไปตีกองขี้ มีแต่จะกระจายใส่ตัวแล้วเหม็นเราเสียเปล่า ๆ เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา เพราะว่าทุกรูปทุกท่านก็คือศากยบุตรพุทธชิโนรสเหมือนกัน เพียงแต่ว่าแนวปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันไป ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนต่อ ๆ กันมา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-06-2018 เมื่อ 16:40
|