อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อปฏิบัติได้แล้ว ในช่วงนั้นไม่ว่าจะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราทรงตัวในระดับไหน เลิกการปฏิบัติไปแล้วอย่าทิ้ง ให้ประคับประคองอารมณ์การปฏิบัตินั้น ให้อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถึงเวลาแล้วเราทิ้งก็ลอยตามน้ำไป พอวันต่อมาเราก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คงได้ไม่ไกลไปกว่าเดิม เลิกแล้วปล่อยก็ลอยตามน้ำไปอีก กลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ไม่มีผลงานเพิ่มขึ้นมาเลย
ท่านที่สงสัยว่าปฏิบัติมาหลายปีถึงหลายสิบปี ทำไมถึงหาความก้าวหน้าไม่ได้ ? ก็เพราะว่าเราไม่ได้ประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติของเราไว้ เมื่อถึงเวลาเลิกจากการปฏิบัติแล้วก็ทิ้งเลย ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด
ดังนั้น นอกจากท่านจะต้องภาวนาพิจารณาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปแล้ว ท่านยังต้องพยายามประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติให้อยู่กับเรานานที่สุด แรก ๆ ได้แค่ ๑ นาที ๒ นาทีก็พังแล้ว หลังจากพยายามปฏิบัติไปก็จะได้ ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาทีเพิ่มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ครึ่งชั่วโมง ได้ ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ได้ครึ่งวัน ได้ ๑ วัน ได้ ๒ วัน ได้ ๓ วัน ได้ ๕ วัน ได้ ๗ วัน ได้ครึ่งเดือน ได้ ๑ เดือน เป็นต้น
สภาพจิตที่ทรงสภาพเอาไว้โดยไม่ไหลไปหา รัก โลภ โกรธ หลง จะมีความผ่องใสมาก ปัญญาก็จะยิ่งเกิดมาก ทำให้เราเห็นช่องทางว่าทำอย่างไรถึงจะเอาชนะกิเลสแต่ละตัวได้ ทำอย่างไรเราถึงจะคดเคี้ยวเลี้ยวลดเพื่อรักษากำลังใจของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เอาไว้ได้
ดังนั้น ในส่วนนี้ทุกท่านต้องพึงสังวรว่า เมื่อภาวนาแล้วต้องพิจารณา ถ้าไม่พิจารณาก็จะหาความก้าวหน้าไม่ได้ เมื่อพิจารณาไปจนเต็มที่แล้ว ก็ย้อนกลับมาภาวนาใหม่ เมื่อละเลิกจากการภาวนาไปแล้ว ก็ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจเอาไว้กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เราจึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติให้ได้เห็น
ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2018 เมื่อ 14:29
|