ในสมัยที่ท่านอาจารย์ยันตระยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาอยู่ ท่านเดินทางไปวัดท่าซุง พระวัดท่าซุงทั้งหมดบอกว่า ไม่ต้อนรับ อาตมาคัดค้านกลางที่ประชุมสงฆ์ว่า คุณไม่ต้อนรับเพราะว่าเขาไม่ดีใช่ไหม ? ทุกคนก็บอกว่าใช่ แล้วสิ่งที่เขาไม่ดีมีใครรู้บ้างไหมนอกจากพวกคุณ ? ในสายตาของญาติโยมคือท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระอรหันต์ ให้ความเคารพนับถือสุด ๆ แล้วท่านแห่มาวัดเราด้วยรถบัส ๒๒ คัน ถ้าเราไม่ต้อนรับ แค่โยมไปพูดกันคนละคำ วัดเราก็เละแล้ว
ท้ายสุดทางกรรมการสงฆ์ก็เลยมอบหมายให้อาตมาเป็นผู้ต้อนรับเอง ก็นำพาท่านไปชมวัด อธิบายให้ทราบว่าแต่ละอย่างสร้างขึ้นมาเมื่อไร สร้างขึ้นด้วยเหตุผลอะไร ก่อนกลับท่านก็ระดมลูกศิษย์ทำบุญมาสี่แสนกว่าบาท แต่คราวนี้คณะสงฆ์ไม่ยักจะให้อาตมารับ ต้อนรับไม่ต้อนรับ แต่เงินกลับเอา...!
ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้รู้ไปก็พูดไม่ได้ จนกว่าความเป็นจริงจะปรากฏขึ้นมา โดยเฉพาะในส่วนของพระภิกษุสงฆ์ของเรา ถ้าบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน คือบุคคลที่มีศีลน้อยกว่า ต้องอาบัติหนักเลย เพราะว่าถ้าพระเรายังไม่มีการสอบสวนและตัดสินความ แล้วเราไปบอกแก่ญาติโยมก่อน เราจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา สร้างความมัวหมองให้เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา
แต่ถ้าทางคณะสงฆ์มีการตัดสินคดีแล้ว เรื่องราวปรากฏชัดแก่สาธารณชนแล้วถึงสามารถที่จะพูดได้ จึงอยากจะให้ญาติโยมทั้งหลายพยายามศึกษา จนกระทั่งเกิดความสามารถที่แท้จริง สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระภิกษุสามเณรหรือฆราวาสท่านใด ประพฤติปฏิบัติดีจริงหรือเปล่า ในเมื่อเราสามารถพิสูจน์ได้ ก็เท่ากับว่าเรามีการคัดกรองบุคคลที่เราจะร่วมบุญร่วมกุศลด้วย
ในเมื่อท่านทั้งหลายรู้ว่าใครเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ร่วมบุญกุศลเฉพาะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งท่านเป็นเนื้อนาบุญ บรรดาของปลอมก็อยู่ไม่ได้ ท้ายสุดก็เปรียบเสมือนกับซากศพที่โดนคลื่นทะเลซัดขึ้นฝั่งไปเสมอ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2018 เมื่อ 03:41
|