หลงอวิชชาอยู่เป็นเวลา ๘ เดือนไม่เคยลืม เพราะรักสงวนอวิชชาซึ่งเป็นตัวผ่องใส ตัวสง่าผ่าเผย ตัวองอาจกล้าหาญ จึงรักสงวนอยู่นั้นเสีย... ทั้ง ๆ ที่สติปัญญาก็มีเต็มภูมิ แต่ไม่นำมาใช้กับอวิชชาในขณะนั้น เมื่อได้นำสติปัญญาหันกลับมาใช้กับอวิชชาอย่างเต็มภูมิ เรื่องอวิชชาจึงแตกกระจายลงไป ถึงได้เห็นความอัศจรรย์ขึ้นมาภายในจิตใจนั้นแหละ จึงเป็นความอัศจรรย์อย่างแท้จริง ไม่อัศจรรย์แบบจอมปลอมดังที่เป็นมา...”
โลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหวเกิดขึ้น ในขณะที่ธรรมภายในใจของท่านกระจ่างแจ้งขึ้นมาดังนี้
“... อยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ หมี่นโลกธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ มีความสะเทือนสะท้านทั่วถึงกันหมดเลยไปหมื่นโลกธาตุนี้ อำนาจอานุภาพความสว่างไสวของเทวดาทั้งหลายทั้งแดนโลกธาตุนี้ ไม่มีอานุภาพของเทวดาตนใดจะเสมอเหมือนอานุภาพแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า.. ตรัสรู้แล้วกระจ่างแจ้งขึ้นมาในเวลานั้น
แต่เมื่อธรรมนั้นกระจ่างขึ้นมาภายในใจเราซึ่งเป็นธรรมประเภทเดียวกัน.. รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกันแล้วจะไปทูลถามผู้ใดแม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้า
พูดแล้ว.. สาธุ ! ไม่กราบทูลหรือไม่ทูลถามท่านให้เสียเวลา เพราะคำว่า สันทิฏฐิโก ที่รู้เองเห็นเองนั้นเป็นธรรมที่ประกาศด้วยความเลิศเลอสุดยอดแล้ว ‘นี่เราก็ไปเจอเข้าแล้วประจักษ์ใจ ประหนึ่งว่าแดนโลกธาตุนี้ไหวไปหมด’
ในขณะที่กิเลสตัวกดถ่วงมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ตัวพาให้เกิดให้ตาย เพียงเราคนเดียวนี้ การเกิดตายของเรา หากว่าเอาประเทศไทยเป็นป่าช้าแล้วน่ะ ร่างกายของเราเพียงคนเดียวนี้ ไม่มีที่ใดที่จะเก็บจะวางศพของตัวเอง ‘มากไหม พิจารณาสิ !’
เพราะมันเกิดมันตาย มันเกิดมันตายมาไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย
จนกระทั่งคืนวันนั้นเป็นวันตัดสินขาดสะบั้นไป.. ระหว่างป่าช้าคือความเกิดตายกับใจของเราที่บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากความเกิดตาย ‘ใจกระจ่างแจ้งขนาดนั้นแล้ว โลกธาตุจะไม่หวั่นไหวได้ยังไง กิเลสมันหนักขนาดไหน ฟังซิ’
หลังจากนั้นแล้ว ความสว่างจ้าครอบโลกธาตุกลับปรากฏขึ้นในใจดวงเดียวที่เคยมืดบอดมากี่กัปกี่กัลป์ นี่แหละ..ความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าเลย เพราะหายสงสัยทุกอย่าง นี้เรียกว่าจิตมีความกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุแล้ว...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2018 เมื่อ 20:14
|