ทรงลาบรรพชา
กาลเวลาผ่านไป พระองค์ก็สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้จนจบตามหลักของคัมภีร์จินดามณี และอักขระขอม พระอาจารย์ของพระองค์ท่าน ก็สอนให้พระองค์ เมื่อทรงมีชนมายุย่างเข้าได้ ๑๖-๑๘ พรรษานี่เอง
หลายปีต่อมาที่บ้านของพระองค์ บรรดาพี่น้องได้ออกเรือนไป (แต่งงาน) ท่านมีความสงสารพระชนก-ชนนี เป็นยิ่งนัก เนื่องจากท่านแก่ชราลงแล้ว ยังต้องมาดูแลกิจการเลือกสวนไร่นาอีก พระองค์จึงมีความดำริที่จะขอลาบรรพชา ออกมาจากสามเณร มาช่วยพระชนก-ชนนีของพระองค์ท่าน ดูแลกิจการเลือกสวนไร่นา คนงานข้าทาสบริวารเพื่อตอบแทนพระคุณพระชนก-ชนนี เพราะไม่อยากเห็นท่านลำบากกาย ลำบากใจ
ถึงปีพระพุทธศักราช ๒๒๙๔ พระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา พระองค์จึงไปขออนุญาต ท่านขรัวตาทอง องค์พระอุปัชฌาย์ ขอลาบรรพชาจากสามเณร พระอุปัชฌาย์เห็นว่าพระองค์มีความกตัญญูต่อพระชนก-ชนนี ก็อนุญาตให้พระองค์ท่านลาบรรพชาไป
เมื่อพระองค์ลาบรรพชาไปนั้น เมื่อว่างจากกิจการงาน พระองค์ท่านมักหลบไปเจริญสมาธิในป่าหลังบ้านเสมอ ๆ บางครั้งก็ไปวัดท่าหอยนั่งเจริญสมาธิบ่อยครั้ง และทรงเข้าหาท่านขรัวตาทองเพื่อสอบอารมณ์ จนพระองค์สามารถเห็นรูปทิพย์ได้ ฟังเสียงทิพย์ได้
เมื่อพระองค์ทรงลาบรรพชาได้ประมาณ ๒ ปีเศษ ท่านขรัวตาทอง วัดท่าข่อย (ท่าหอย) ก็ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบลงด้วยโรคชรา เมื่อครบร้อยวันการทำบุญสรีระสังขารของท่านขรัวตาทอง พระองค์ และชนก-ชนนีของพระองค์ท่าน ก็ไปช่วยงานปลงศพ ท่านขรัวตาทอง ณ ที่วัดท่าหอย
เสร็จงานปลงศพท่านขรัวตาทองแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายในวัดท่าหอย ได้ยกให้ พระอาจารย์แย้ม ศิษย์ท่านขรัวตาทอง ขึ้นเป็นพระอธิการวัดท่าหอย เป็นองค์ต่อมา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-09-2009 เมื่อ 06:37
|