พระอาจารย์กล่าวว่า “ยุคสมัยรัชกาลที่ ๔ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม กลางวันแสก ๆ หลวงพ่อท่านจุดไต้เข้าวัง พอรัชกาลที่ ๔ เห็นก็ตรัสว่า “ขรัวโต...โยมเข้าใจแล้ว” หลวงพ่อโตท่านก็เอาไต้ทิ่มกับกำแพงวังเพื่อดับ
ยุคต่อมาบ้านเรามี ส.ส. ก็มีส.ส.ขี่ควายถือตะเกียงเจ้าพายุกลางวันแสก ๆ เข้าสภา ไปถามเหตุผล ท่านบอกว่า “ยุคมืด” กลางวันก็เลยต้องถือตะเกียงเจ้าพายุไปด้วย อาตมาก็เลยสงสัยว่ายุคนี้จะมีใครกล้าที่จะจุดตะเกียงหรือถือไฟฉายตอนกลางวันไปบ้าง ม.๔๔ ใช้ส่งเดชไม่ได้เพราะว่ามีรัฐธรรมนูญแล้ว ถ้าขัดรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียวนี่ซวยเองเลย
คราวนี้ในเรื่องของยุคมืด สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีที่พึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการพึ่งตัวเอง ความจริงเราใช้คำว่าพึ่งตัวเอง คือ ทำให้ตัวเองมีเกาะ มีฝั่ง ก็คือ ที่ยึดที่พัก โดยเฉพาะการพักกำลังใจตัวเอง การทำตัวให้เป็นเกาะ เป็นฝั่ง คือ พึ่งตัวเองได้ในท่ามกลางกระแสทุกข์
ท่านบอกว่าต้องมีศรัทธา มีศีล มีพาหุสัจจะ มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา โห...มีเยอะมาก ความจริงมีข้อเดียวก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าให้มาตั้ง ๕-๖ ข้อ
ข้อแรก ศรัทธา คือความเชื่อมั่น อรรถกถาจารย์ท่านขยายความเชื่อมั่น ว่ามีเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ เห็นว่าคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัยได้จริง ก่อประโยชน์ให้กับผู้ที่ยึดถือจริง ๆ
ข้อที่ ๒ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือสิ่งที่เรายึดถือด้วยความเชื่อว่า สามารถคุ้มครองป้องกันรักษาชีวิตของเราให้ปลอดภัยได้จริง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงเป็นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง ประมาณนั้น
ข้อที่ ๓ ท่านบอกว่า เชื่อมั่นในผู้นำ ช่วงก่อนนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต คนทั้งประเทศรู้สึกว้าเหว่มาก พอมีในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ขึ้นมาเราก็รู้สึกมั่นใจขึ้น รู้สึกชีวิตมีทิศทางที่มั่นคงขึ้น อันนี้คือเชื่อมั่นในผู้นำ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-04-2017 เมื่อ 18:51
|