ท่านตั้งใจจะขึ้นเวทีต่อกรกับทุกขเวทนาของโรคในคืนนี้ ชนิดจะให้ถึงเหตุถึงผล ถึงพริกถึงขิง ถึงเป็นถึงตายเลยทีเดียว จากนั้นก็เข้าที่นั่งภาวนา โหมกำลังสติปัญญา.. หมุนเข้าพิจารณาทุกขเวทนาในจุดตรงกลางอกที่กำลังเจ็บเสียดแทงอยู่นี้ ท่านเล่าไว้ดังนี้
“ ... พิจารณาทุกขเวทนาในหัวอกนี้ว่าเป็นยังไง ? เกิดขึ้นจากอะไร ? เสียดแทงอะไร ? เวทนาเป็นหอกเป็นหลาวเมื่อไรกัน ? มันก็เป็นทุกข์ธรรมดานี่เอง ทุกข์นี้ก็เป็นสภาพอันหนึ่ง เป็นของจริง... ค้นกันไปมาไม่ถอย เป็นตายไม่สนใจ สนใจแต่จะให้รู้ความจริงในวันนี้เท่านั้น พิจารณาดังนี้
ทุกขเวทนามันมากเท่าไร มันแทงในหัวอก สติปัญญายิ่งหมุนติ้ว ๆ สู้ไม่ถอยจากหัวค่ำจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่มกว่า พอเต็มที่เห็นประจักษ์ เวลาถอนนี้.. ถอนอย่างประจักษ์เช่นเดียวกับทุกขเวทนาจากการนั่งตลอดรุ่ง จิตรอบด้วยปัญญา ทุกขเวทนาแบบเดียวกัน ถอนออก ๆ กำหนดตามกัน ๆ ถอนออกจนโล่งหมดเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือ โล่งหมดในหัวอกนี่ สุดท้ายก็เหมือนกับว่าร่างกายไม่มี ว่างไปหมดเลย พักดูความอัศจรรย์ของจิต
เมื่อทุกขเวทนาดับไปหมดแล้ว มีแต่ความว่างของร่างกาย จากนั้นก็เป็นความว่างของจิต กายหายเงียบ เมื่อจิตมันพอตัวได้กำลังแล้วก็ยิบแย็บ ๆ ถอยออกมา ๆ จิตก็ยังว่าง ร่างกายแม้จะมีอยู่แต่ไม่มีเจ็บมีปวด ไม่มีเสียดมีแทงในหัวอกอย่างที่เคยเป็นมาเลย จึงแน่ใจว่าไม่ตายแล้วทีนี้ โรคนี้หายไม่ยากอะไรเลย แก้กันด้วยอริยสัจ
พอหลังจากนั้นแล้วก็ลงเดินจงกรม เอาตะเกียงแก้วครอบเล็ก ๆ ภาคอีสานเขาเรียกตะเกียงโป๊ะเล็ก ๆ จุดไว้ข้างนอกมุ้งโน้น... ตั้งแต่ต่อสู้กันอยู่โน้นนะ จุดไว้แล้วก็เข้าที่ละ มองเห็นไฟอยู่นอกมุ้งโน้น ไม่ได้เอาเข้ามาในมุ้ง จากนั้นก็ลงเดินจงกรม โอ๋ย.. เดินก็ตัวปลิวไปเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือ...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2017 เมื่อ 21:04
|