"การปฏิบัติธรรมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ถ้าเรามีไม่มีอุเบกขา โอกาสที่จะก้าวหน้าก็เป็นไปโดยยาก ในเรื่องของการให้ทาน ถ้าเราไม่มีอุเบกขาในการให้ทาน ให้แล้วบางคนก็ยังตามไปตรวจว่า ของที่ทำไปท่านได้เอาไปใช้เอาไปฉันจริงหรือเปล่า ? นั่นคือลักษณะของการขาดอุเบกขาในการให้ทาน ทำแล้ว ให้คนอื่นไปแล้ว แต่ยังไม่ขาดจากใจตัวเอง ยังยึด ยังเกาะอยู่ โอกาสที่จะติดอยู่แค่กามาวจรภูมิก็มีมาก
ในการรักษาศีล เมื่อเราล่วงละเมิดศีลโดยไม่ได้เจตนา ถ้าเรามีอุเบกขา ก็คือปล่อยวาง แล้วตั้งหน้าตั้งตาชำระศีลให้บริสุทธิ์ใหม่ แต่ถ้าหากเราไม่มีอุเบกขา เราก็จะไปเศร้าหมองอยู่ตรงนั้นว่า เรารักษาศีลมาได้ตั้งนานแล้ว ไม่น่าที่จะบกพร่อง ลักษณะอย่างนั้น ถ้าเราตายตอนนั้น สภาพจิตเศร้าหมองจะนำเราไปลงอบายภูมิ
ส่วนในเรื่องของการภาวนานั้น สมาธิทุกระดับจะมีตัวอุเบกขาอยู่เสมอ ตั้งแต่อุเบกขาของปฐมฌาน อุเบกขาของฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ตัวที่ ๕ นี่ชัดเจนที่สุดเลย ก็คือเหลือแต่อารมณ์อุเบกขาล้วน ๆ เรียกว่า ปัญจมฌาน สำหรับบุคคลที่มาสายพระโพธิสัตว์จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ ฉะนั้น...ถ้าเราขาดตัวอุเบกขา ซึ่งปนอยู่ในเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสมาธิภาวนาในแต่ละระดับได้อย่างแท้จริง
ส่วนอุเบกขานั้นในวิปัสสนาญาณนั้น ก็คือการเลิกการปรุงแต่ง ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจไม่นำมาคิด สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส เมื่อใจไม่คิด ความดีความชั่วก็ไม่เกิด กุศลกรรมและอกุศลกรรมไม่เกิด ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เกิดเพราะขาดการปรุงแต่ง คำว่า "ไม่เกิด" ก็คือ "ดับ" นิโรธคือความดับก็ปรากฏขึ้น โอกาสที่เราจะเข้าถึงพระนิพพานจึงจะมีได้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-01-2017 เมื่อ 20:58
|