พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องความกลัวนี้ว่ากันไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราพิจารณาไม่ตลอดก็จะกลัวอยู่นั่นแหละ กลัวไม่เลิก อาตมาพิจารณาอยู่เป็นปี ๆ ว่าความกลัวมาจากไหน ตามดูอยู่เป็นปี ๆ ในที่สุดก็สรุปได้ว่ากลัวตาย กลัวตายแล้วเราไปคิดล่วงหน้าก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ถ้าหยุดคิดได้ก็จะเลิกกลัวไปเอง
ไปนั่งกรรมฐานในป่าช้า พอดึก ๆ หน่อย ๔-๕ ทุ่ม งูก็ออกหากิน เสียงเลื้อยมาตามใบไม้แกรก ๆ ฟังดูก็รู้ว่าตัวประมาณนิ้วชี้เท่านั้นแหละ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอก ก็นั่งภาวนาต่อไป แวบเดียวเท่านั้นเอง ใจบอกว่า "ถึงตัวเท่านิ้วชี้ แต่ถ้ามีพิษก็กัดเราตายเหมือนกันนะ" ความรู้สึกเริ่มหลอกตัวเอง รู้สึกว่างูตัวนั้นใหญ่ขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง แล้วก็คิดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ "จะใหญ่กว่าที่เราคิดอีกนิดหนึ่งกระมัง ?" จากที่ใหญ่เท่านิ้วชี้นิ้วโป้ง ตอนนี้ชักใหญ่เท่าถ่านไฟฉายแล้ว กลัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ท้ายสุดยังไม่ทันจะเห็นงูเลย รู้สึกว่าน่าจะโตสักเสาเรือน..! ท้ายสุดก็ให้รู้เรื่องกันไปเลยวะ เปิดกลดออกไปส่องไฟดู โธ่เอ๋ย...งูปล้องฉนวน ตัวขาว ๆ ดำ ๆ เป็นท่อน ๆ ตัวใหญ่กว่านิ้วก้อยนิดเดียว ยาวสักศอกกว่า ๆ เอง ก็เลยมาตามดูว่า ตกลงว่าเรากลัวอะไร สรุปได้ว่ากลัวตาย กลัวงู งูกัดเรา...ตาย
กลัวผี ผีมาบีบคอเรา...ตาย กลัวเสือ เสือกัดเรา...ตาย สรุปแล้วก็ลงตรงตายหมด แม้กระทั่งกลัวจิ้งจกตุ๊กแกก็ลงตรงตายหมด น่าขยะแขยง...เดี๋ยวขาดใจตาย กูจะบ้า...หลอกกันได้ขนาดนั้น ตามดูอยู่เป็นปี ๆ กว่าที่จะหายกลัวได้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2016 เมื่อ 20:41
|