ต่อมาเมื่อมีพระเณรติดตามขอรับคำแนะนำจากท่านมากขึ้นทุกที ความเห็นใจที่ท่านเองก็เคยเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์เช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ยอมรับภาระในที่สุด
“...ผมไม่ได้เคยคิดว่าได้เป็นครูเป็นอาจารย์ใครทั้งนั้นแหละ เพราะนิสัยไม่มีทางนั้น มีแต่จะเอา ๆ เรื่องของเจ้าของโดยเฉพาะ ๆ เหมือนไม่เคยที่จะไปสนใจไปสอนผู้ใดเลย เวลาปฏิบัติก็มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างเดียว ทีนี้เวลาพอลืมหูลืมตาได้บ้าง มันก็ไม่สนใจที่จะสอนใคร เสียอยู่อย่างนี้.. สบายดีว่างั้น
เพราะฉะนั้น เวลาหมู่เพื่อนรุมไปกับผม ผมจึงขโมยหนีเรื่อยนะซิ อยู่คนเดียวสบายดี ไม่มีอะไรมากวน สบายดี มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้มันมากต่อมาก รุมเข้า ๆ ก็เลยเป็นอย่างนี้ อย่างที่เห็นนี่ แต่ไม่ได้เป็นกับนิสัยของเจ้าของนะ
ก็อยู่ไปอย่างนั้นแหละ เพราะเห็นหัวใจแต่ละดวงนี้มีคุณค่า คิดถึงเรื่องเราเวลาเลือกคลานเกิดขึ้นมาเจอพ่อเจอแม่อยู่แล้ว ครูอาจารย์เราได้วิ่งหาแทบล้มแทบตาย ไปที่ไหนก็ไม่เหมาะเจาะในหัวใจ มันก็ต้องผ่านไป ๆ จนกระทั่งไปถึงที่เหมาะเจาะแล้วถึงทุ่มกันลง หมู่เพื่อนแสวงหาครูบาอาจารย์ก็คงเป็นอย่างเดียวกันนี้ นี่แหละ...เอามาบวก มาลบ คูณ หาร กันดูแล้ว เราทนอยู่ด้วยเหตุนี้นะ...
เราก็ทนเพื่อหมู่เพื่อน เพราะหัวใจอยู่กับหมู่เพื่อนเท่านั้น ด้วยความเมตตาสงสาร เพราะการดำเนินทางด้านจิตใจนี้ เราเห็นโทษมาพอแล้ว สำหรับเราเอง เราเห็นคุณค่าของครูบาอาจารย์ที่คอยแนะนำสั่งสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ
จากนั้นก็เอาเรื่องเหล่านี้แหละ มาพิจารณาเทียบเคียงถึงเรื่องหมู่เพื่อนทั้งหลายจึงทนนะ นี่นะ.. ผมทนเอาเฉย ๆ
‘ถ้าเป็นตามนิสัยของผมแล้ว นิสัยหมายถึงความชอบใจนะ เราไม่ได้ชอบใจเกี่ยวกับหมู่เพื่อนมีมาก ๆ นี่นะ’
นิสัยของเราเป็นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เรื่องความอยู่คนหนึ่งคนเดียวตั้งแต่ปฏิบัติเราก็ปฏิบัติอย่างนั้น .. เรื่อยมาอย่างนั้นจนกระทั่งพ่อแม่ครูอาจารย์มรณภาพไปแล้ว หมู่เพื่อนมารุมเกาะเรานี่ซิ...
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 20:13
|