ในเวลากลางคืน พระอาจารย์ของพระองค์ได้สอนให้นั่งสมาธิ โดยการสำรวมจิต สำรวมอินทรีย์ แต่การนั่งสมาธิเมื่อครั้งพระองค์เป็นสามเณรน้อย ๆ นั้น พระอาจารย์ของพระองค์บอกให้พระองค์นั่งเจริญสมาธิเพื่อเป็นพื้นฐานไว้เท่านั้น แต่สามเณรน้อย ๆ มีนิวรณ์ธรรมน้อย จิตจึงข่มนิวรณ์ธรรมได้เร็ว จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว จึงเป็นเหตุให้สามเณรสุกในครั้งนั้นมีพื้นฐานทางสมาธิภาวนาแต่นั้นมา
กล่าวว่า เมื่อพระองค์ทรงสำรวมจิตเจริญสมาธิครั้งนั้น และด้วยบุญบารมีของพระองค์ที่ได้สั่งสมมาช้านาน จิตของพระองค์ท่านก็บรรลุถึงปฐมฌานในวิสุทธิธรรมแรก ๆ ท่านขรัวตาทองพระอาจารย์ของพระองค์ ตรวจดูเหตุการณ์นี้แล้ว ก็รู้ว่าพระองค์ท่านเป็นผู้มีบุญบารมีมาเกิด จะเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต แต่ท่านขรัวตาทองก็ไม่ได้สอนอะไรให้พระองค์เพิ่มเติม เพราะเห็นว่าพระองค์ยังเล็กอยู่ เพียงแต่บอกให้พระองค์ท่านนั่งสำรวมจิตให้เป็นสมาธิอย่างเดียว
ครั้นเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุย่างเข้า ๑๖-๑๘ พรรษา ท่านขรัวตาทองพระอาจารย์ของพระองค์ เห็นว่าพระองค์พอจะรู้เรื่องสมาธิบ้างแล้ว จึงเริ่มบอกพระปีติ ๕ พระยุคล ๖ พระสุขสมาธิ ๒ ประการ และพระอานาปานสติบ้าง แต่มิได้ให้เข้าสะกด ตั้งใจไว้ให้ท่านอุปสมบทก่อน จึงจะให้ปฎิบัติสมาธิเป็นเรื่องเป็นราว เป็นแบบแผนที่หลัง และครั้นเมื่อท่านมีชนมายุได้ ๑๖-๑๘ พรรษา ท่านขรัวตาทองก็สอนให้ท่านอ่าน-เขียน อักษรขอมไทย จนพระองค์ท่านพอมีความรู้บ้าง
ท่านขรัวตาทองพระอาจารย์ของพระองค์ เล็งเห็นว่ากาลข้างหน้าเมื่อพระองค์ท่านทรงอุปสมบทแล้ว เวลานั้นจะมีพระมหาเถราจารย์ชี้แนะพระกัมมัฎฐานมัชฌิมาพระองค์ท่านเอง และท่านขรัวตาทอง วัดท่าข่อย (ท่าหอย) ก็รู้ว่าอายุของท่านจะอยู่ไม่ถึงอุปสมบทสามเณรสุกเป็นพระภิกษุ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-09-2009 เมื่อ 06:19
|