พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๕ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของอาตมารูปหนึ่ง ได้มรณภาพลง ช่วงนั้นอาตมาก็วิ่งมางานบุญที่นี่แล้วก็วิ่งกลับวัดท่าซุง เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงช่วงนั้นอาการก็ไม่ดีนัก ถัดจากนั้น ๖ อาทิตย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงก็มรณภาพไปอีก อาตมาต้องสวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง เสร็จตอน ๒ ทุ่มครึ่ง แล้วก็ตีรถวิ่งมาที่นี่ ทำบุญเช้าเสร็จก็วิ่งกลับไปวัดท่าซุง
ช่วงนั้นมีความสุขมากที่ได้นั่งรถทั้งคืนทั้งวัน เพราะว่าต่างก็เป็นครูบาอาจารย์ที่อาตมาให้ความเคารพรักทั้งคู่ แต่ตนเองเป็นพระวัดท่าซุง โดยเฉพาะถือหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักชัยในการดำเนินปฏิปทามาโดยตลอด ก็ต้องเอาทางด้านโน้นเป็นใหญ่ ก็คือเตรียมงาน จัดงานจนเสร็จแล้ว ๒ ทุ่มครึ่งถึงออกมา ช่วงกลางวันเขาก็มีเวรอีกผลัดหนึ่งทำหน้าที่แทน อาตมาวิ่งมาทำบุญที่นี่เสร็จก็วิ่งกลับไปวัด ไปถึงได้พักผ่อนหน่อยหนึ่ง พอได้เวลาก็ต้องสวดพระอภิธรรมอีกแล้ว ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่สนุกกับชีวิตมาก
คราวนี้เรื่องของหลวงปู่สายต้องบอกว่าไม่มีอะไรที่บังเอิญ เนื่องจากว่าอาตมาเองได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าถึงหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ ว่าเป็นสหธรรมมิกที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่บุคคลที่เป่ายันต์เกราะเพชรไปจากวัดบางนมโคแล้ว ถ้าไปขอให้หลวงปู่เดิมลงยันต์มหากาฬให้ หลวงปู่เดิมจะไม่ลงให้ ท่านบอกว่าที่มีอยู่ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว
และบุคคลที่สักยันต์มหากาฬไปหาหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานก็บอกว่า มีของดีอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเอาทางนี้อีก ? จะเห็นได้ว่าปฏิปทาของครูบาอาจารย์ทั้งคู่นอกจากจะเนื่องกัน เหมือนกัน หรือคล้ายกันแล้ว ยังมีหลักวิชาการต่าง ๆ ที่กินกันไม่ลงอีกด้วย เพราะต่างคนต่างยกย่องว่า สิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเสริมสร้างขึ้นมาด้วยพุทธบารมีนั้น เป็นสิ่งที่เพียงพอต่อการปกป้องคุ้มครองทั้งตนเองและครอบครัวแล้ว"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:08
|