๖. อย่ากังวลกับงานทางโลก และเหตุการณ์ใด ๆ ของโลกซึ่งกำลังตึงเครียด ข่าวร้ายใด ๆ เข้ามากระทบก็ให้เห็นเป็นกฎของกรรม เป็นกฎธรรมดาของโลกที่แก้ไขอะไรไม่ได้ โลกก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ เพราะไม่เที่ยง.. เดินเข้าหาความดับเป็นอนัตตาอยู่เป็นปกติทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ตถาคตเจ้าแต่ละพระองค์ในสมัยยังทรงชีวิตอยู่ สภาวะข้าวยากหมากแพง ฝนแล้ง เกิดทุพภิกขภัยต่าง ๆ ก็มีอยู่ทุก ๆ พุทธันดร ซึ่งจุดนั้นคนจักเป็นทุกข์มาก ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมก็จักมีมาก
แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่ยังมีกิเลสหนา ทะยานอยากมาก (มีตัณหามาก) ก็จักดิ้นรน – แสวงหาทรัพย์ – หาลาภ – หายศด้วยความเร่าร้อน หาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไรก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น เพราะเขาไม่เห็นทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ตายไปเขาก็เอาอะไรไปไม่ได้ เพราะเป็นสมบัติของโลก ซึ่งไม่มีใครสามารถจักเอาไปได้ เพราะความ โลภ – โกรธ – หลง เต็มจิต ติดใจติดกายอยู่จนกระทั่งวันตาย
ยกเว้นพวกมีบารมีธรรมสูง (บารมี ๑๐ ประการ) มีปัญญารู้ธรรมของโลก และธรรมพ้นโลก คือ ศีล – สมาธิ – ปัญญา... ทาน – ศีล – ภาวนา ช่วยตัดอารมณ์ โลภ – โกรธ – หลง ได้ตามลำดับ จนดับสนิทเป็นสมุจเฉทปหาน ก็จักเอาสมบัติของโลกซึ่งเอาไปไม่ได้ แต่หากเชื่อและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ในเรื่องทานบารมี จากกำลังใจมีบารมีต้น ๆ หยาบ ๆ แล้วเจริญเป็นขั้นกลาง เป็นอุปบารมี และปรมัตถบารมีตามลำดับ ก็สามารถจักเอาสมบัติของโลก (โลกียทรัพย์) ไปเป็นอริยทรัพย์ (โลกุตรทรัพย์)
การทำทานเพื่อตัดความโลภจนชินกลายเป็นจาคะ เป็นจาคานุสติในทาน มีปัญญาเห็นความละเอียดของทาน จากทาสทาน – สหายทาน – สามีทานตามกำลัง เป็นสังฆทาน – วิหารทาน – ธรรมทานภายนอก – ธรรมทานภายใน แล้วจบลงที่อภัยทาน หากทำได้ทรงตัว สังขารุเบกขาญาณเกิดขึ้นทรงตัว ก็จบกิจในพระพุทธศาสนา (ผมไม่ขอเขียนรายละเอียด เพราะธรรมในพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง ถึงแล้วจึงจะรู้ได้เองเฉพาะตน ของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน อธิบายเท่าไรก็ไม่มีทางรู้จริงได้ ทุกอย่างล้วนมีระดับจากหยาบ – กลาง – ละเอียด เหมือนกับอารมณ์พระโสดาบันมี ๓ ระดับนั่นแหละ แม้ตัวผมเองก็ต้องรู้ว่าตนเองปฏิบัติได้แค่ไหน ยังเหลืออยู่อีกเท่าไรก็ต้องรู้)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 02:04
|