ของแบบนี้อยู่ที่การฝึกฝน เรื่องทั้งหมดที่พูดมาสรุปลงตรงที่ว่า เรายังไม่ได้ฝึกฝนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาให้เกิดผลจริง ถ้าเกิดผลจริงเมื่อไรไม่เห็นต้องไปกลัวใครเขาเบียดเบียนเราเลย เพราะท้าพิสูจน์ได้ตลอด
ฉะนั้น...ในส่วนนี้อยากจะยกสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมอบเป็นมรดกไว้ให้ ก็คือ พระคาถาอภิญญา ให้พวกเราที่จะเป็นพระ เป็นเณร เป็นฆราวาสก็ได้ สละเวลาสักเช้าชั่วโมงหนึ่ง เย็นชั่วโมงหนึ่ง ลองทำให้จริง ๆ จัง ๆ ดู ถ้าหากว่าทำแล้วเกิดผล นอกจากจะเป็นคุณแก่ตัวเราเองแล้ว ยังเป็นกำลังใหญ่ในการช่วยพระศาสนาได้ดีเป็นอย่างยิ่ง
คราวนี้พระคาถาอภิญญามีอยู่ ๒ บท บทแรกเป็นการฟื้นฟูอภิญญาใหญ่ ก็คือ กำลังที่เกิดจากกสิณ ๑๐ โดยตรงเลย คือ โสตัตตะภิญญา ภาวนายากนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่เคยชิน เพราะเรามักจะเคยชินกับการที่จับลมหายใจพร้อมกับคำภาวนา คราวนี้คำว่าโสตัตตะภิญญา ถ้าจะให้ลงตัวจริง ๆ เราต้องไปจับคำภาวนาในลักษณะเล่นทั้งประโยคเลย
อีกบทหนึ่ง ก็คือ สัมปะจิตฉามิ บทนี้ถ้าเราทำขึ้นก็มีอานุภาพคล้ายกับฝึกกสิณ ๑๐ เหมือนกัน แต่เท่าที่อาตมาทดสอบมา โสตัตตะภิญญามีกำลังเข้มแข็งกว่าหลายเท่า ถ้าหากว่าบทสัมปะจิตฉามิ เราจะภาวนาให้ขึ้นนะโมฯ ๓ จบ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิฯ และอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ แล้วค่อยภาวนาสัมปะจิตฉามิ ว่าไปเรื่อย ๆ จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา ส่วนโสตัตตะภิญญานั้นง่าย ตั้งนะโมฯ แล้วก็ใส่ได้เลย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2016 เมื่อ 19:33
|