ยายหนู...ถ้าจะร้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย อย่าไปห้าม ถ้าหากว่าเราไม่ปล่อยให้เต็มที่ ก้าวผ่านไม่ได้ สมาธิถึงจุดนั้นเมื่อไรเราก็จะเป็นอีก ไม่ว่าจะได้ยินเรื่องคนอื่นทำความดี ได้เห็นคนอื่นทำความดี หรือตัวเองทำความดี ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราปล่อยจนข้ามไปทีเดียวเลย ร้องให้ข้ามวันข้ามคืนไปเลย ก็จะเลิกไปเอง
หลวงพ่อเองร้องตั้งแต่เช้าจนบ่ายสามโมง เช็ดหน้าจนหมดกระดาษทิชชู่ไปเป็นกล่อง แต่ถ้าเรามัวแต่ไปกลัวอายคน แล้วไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาพอกำลังใจถึงตรงจุดนั้นก็จะเป็นอีก ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ปีติ
ถ้าถามว่าปีติทำไมมีอาการแปลก ๆ อย่างนี้ ? ในอรรถกถาท่านเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนกับพ่อแม่ ถึงเวลาก็สั่งลูกว่า "อยู่บ้านนะลูก แม่จะไปตลาด" แล้วก็หายไปเป็นวัน ตอนเย็นกลับมา ลูกเห็นแม่ก็ดีอกดีใจกระโดดโลดเต้น พ่อมาแล้ว แม่มาแล้ว บางทีก็ร้องไห้โฮเลย
กำลังใจของเราก็เหมือนกัน เคยอยู่กับความสงบมาก่อน พอมาฟุ้งซ่านอาจจะหลายปี หรืออาจจะหลายชาติ เวลากลับไปสู่ความสงบเหมือนเดิม ก็เหมือนกับเด็กที่โดนพ่อแม่ทิ้งมานาน ถึงเวลาเจอพ่อแม่ก็นั่งร้องไห้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ บางคนก็ดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนอย่างกับผีเข้าเจ้าสิง แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นอาการแสดงออกธรรมดา
เด็กบางคนเจอหน้าพ่อแม่ก็กระโดดโลดเต้นปีนยันหัวเลย ก็คือแบบนั้น เรื่องพวกนี้ต้องปล่อยให้ปีติไปจนหมดกำลังไปเอง แล้วจะก้าวขึ้นไปสู่สมาธิขั้นสูงกว่า ถึงเวลานั้นกำลังใจเราจะสงบแนบแน่นกว่านั้นอีกเยอะ ตอนนี้ไม่ต้องไปกังวลหรอก ถึงเวลาสมาธิทรงตัว อยากเป็นก็ปล่อยให้เป็น ปิดประตูห้องร้องไห้ให้สะใจ ถึงเวลาก็จะก้าวข้ามไปได้เอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2016 เมื่อ 01:23
|