"ในยุคของคุณทักษิณ บ้านเราจวนจะก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยช่วงสุดท้าย ซึ่งก็คือการมีพรรคใหญ่แค่ ๒ พรรค ถ้าก้าวไปสู่จุดนั้นเมื่อไร เราดูตัวอย่างของอังกฤษหรืออเมริกา ของเขามีแค่ ๒ พรรคแข่งกัน ถ้าใครชนะได้เป็นรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งก็รอโอกาส ครบ ๔ ปีเลือกตั้งค่อยมาแข่งกันใหม่ ตอนช่วงคุณเป็นรัฐบาลถ้ามีผลงานอะไรดี รัฐบาลเก่าก็เอาออกมาโฆษณาให้ชาวบ้านเขารู้ พร้อมกับกำหนดแนวนโยบายใหม่ ๆ ส่วนพรรคคู่แข่งก็จะดูว่ารัฐบาลทำอะไรไม่เข้าท่าเข้าทาง แล้วพยายามเอามาขยายผลให้ชาวบ้านเขารู้ จากนั้นก็ยกนโยบายที่ตัวเองเห็นว่าดีขึ้นมาแสดง
ต้องบอกว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก เกือบทุกประเทศก็อยู่ในลักษณะนี้ คือถึงไม่ชอบใจก็รอ อดทนอดกลั้นให้หมดเวลาไป จะมาอ้างว่าถ้ารอแล้วประเทศชาติฉิบหาย ก็ไม่เห็นสหรัฐหรือว่าอังกฤษเขาจะฉิบหายสักที เขาก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมามีอำนาจ ขึ้นมาแสดงผลงาน
ถ้านับในเรื่องของกำลังทหาร อเมริกาก็ต้องถือว่ามีแสนยานุภาพเป็นอันดับ ๑ ของโลก ก็ไม่เห็นเขาจะใช้กำลังปฏิวัติกัน มีแต่บ้านเราเมืองเราที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว พยายามสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดการปฏิวัติจนได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเราเมืองเราก้าวผ่านมานานแล้ว
ในส่วนที่อาตมาเห็นว่าคุณทักษิณมีความผิดนั้น ที่เห็นชัดเจนมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือคุณทักษิณเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้ใคร พูดง่าย ๆ ว่าเจ้าที่เจ้าทางอยู่ที่ไหน บรรดานายกฯ อื่น ๆ ไปกราบไปไหว้ แกไม่ไป ประการที่ ๒ คืออยู่นานเกินไป พออยู่นานเกินไป คนไม่ได้เป็นรัฐบาลก็เกิดอาการอย่างที่คุณบรรหาร ศิลปอาชาพูด ก็คืออดอยากปากแห้ง จึงต้องสร้างสถานการณ์เพื่อให้ตัวเองขึ้นไปเป็นรัฐบาลบ้าง แต่ปรากฏว่าทหารของเราดันบ้าจี้ เห็นดีเห็นงามไปด้วย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2016 เมื่อ 20:57
|