เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙
ให้ทุกคนนั่งในท่าสบายของตนเอง เพียงแต่ว่าตั้งกายให้ตรง คำว่าตั้งกายให้ตรงไม่ได้ให้เกร็งร่างกาย แต่ว่าให้โยกหาจังหวะที่รู้สึกว่ากระดูกสันหลังเราตั้งเป็นแนวตรง คือกระดูกทุกข้อซ้อนทับกันเป็นแนวตรง น้ำหนักจะกดลงตรง ๆ บางทีลักษณะนั้นเราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราเอนหลังมากเกินไป แต่ความจริงแล้วก็คือ เรามักจะนั่งค้อมมาทางด้านหน้ามาก จังหวะที่ตรงพอดีจะเหมือนกับเราเอนหลังมากไปนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วจะเป็นจังหวะที่สบายที่สุด ทำให้นั่งได้ทน นั่งได้นานกว่าจังหวะอื่น ๆ
กำหนดความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา ให้จิตจดจ่ออยู่แค่ลมหายใจตรงนี้ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม ถ้าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้จะขอกล่าวถึงมูลกรรมฐาน หรือกรรมฐานที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งบุคคลที่บวชพระบวชเณรทุกรูปจะต้องได้รับจากพระอุปัชฌาย์ ก็คือกรรมฐานที่เรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน คือ กรรมฐาน ๕ อย่างซึ่งมีหนังเป็นที่สุด ภาษาบาลีว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ ก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
ทำไมพระอุปัชฌาย์ทุกรูปทุกนามจึงต้องให้มูลกรรมฐานนี้แก่ลูกศิษย์ ? ก็เพราะว่าการที่จะรักษาความดี รักษาศีลในสภาพนักบวชเอาไว้ได้ จิตใจไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปในกามารมณ์ ก็ต้องมีกรรมฐานเป็นเครื่องยึด แล้วเหตุใดจึงต้องเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ? ก็เพราะว่า ๕ อย่างนี้มีสภาพที่เราเห็นได้ชัดเจน สามารถระลึกนึกถึงได้ง่าย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 03:28
|