ถาม : ท่านเคยบอกว่ากิเลสเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าเราไม่ไปปรุงแต่งต่อกิเลสก็ไม่เกิด ทีนี้พอเรามีสติว่ามีกิเลส กิเลสก็หายไปแล้ว ตอนนั้นเราไปนั่งมองไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีสติพอ กิเลสจะเกิดไม่ได้เลย แต่คราวนี้สติไม่พอ เราก็เลยทำให้กิเลสเกิด อย่างนี่คือปากกา ถ้าคิดว่า...วันนั้นคนข้างบ้านไม่ดีกับเรา เขียนไปด่าเขาหน่อย โทสะก็เกิด หนุ่มคนนั้นหล่อดี เขียนไปขอเบอร์เขาหน่อย ราคะก็เกิด ฉะนั้น...อยู่ที่ใจเราไปปรุงแต่งต่อ ถ้าสติของเราเพียงพอ เราไม่ไปสร้างเหตุ กิเลสเกิดไม่ได้เลย แล้วเราจะไปดูอะไรเล่า ?
ถาม : การพิจารณานี่ลงที่อารมณ์ร่างกายเท่านั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ท้ายสุดเราไม่เอาอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิเลส จะเป็นร่างกาย จะเป็นอะไรก็ตาม เราไม่เอาแล้ว ปล่อยวางภาระทั้งหมด ยังอยู่ก็สักแต่ทำหน้าที่ไป พ้นเมื่อไรก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว ทำตามหน้าที่ของเราให้ดี ทำแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว ในเมื่อมีวันนี้วันเดียวก็ทำหน้าที่ให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ถ้าขี้เกียจแปลว่าไปผิดทาง
ถาม : เรามองเห็นว่าชีวิตเหมือนเป็นแค่ความฝัน แล้วก็วูบไป ก็ไม่รู้สึกอะไรกับการที่จะต้องทำทางโลกให้เจริญขึ้น ?
ตอบ : แสดงว่าไปผิดทางแล้ว ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ในเมื่อเรามีวันนี้วันเดียว ยิ่งเวลามีน้อยเท่าไรก็ยิ่งต้องทำให้ดีเท่านั้น
ถาม : พอเราคิดว่าดีแค่ไหนเดี๋ยวก็สลาย ไม่เหลืออยู่ดี ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ คนอื่นเขาเห็น ทำเพื่อตัวอยู่ได้แค่ชั่วสิ้นลม ถ้าทำเพื่อสังคมอยู่ได้นิจนิรันดร์
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-02-2016 เมื่อ 06:41
|