"๗.ปัตตานุโมทนามัย พลอยยินดีในผลบุญของคนอื่น วันนี้หลายท่านลืม เห็นคนอื่นใส่บาตรเราก็แค่สาธุเท่านั้นเอง แต่ว่าปัตตานุโมทนามัยนี่ไม่ใช่แค่สาธุแล้วเราจะได้ เป็นบุญที่กินยาก เคี้ยวยาก ถามว่ากินยาก เคี้ยวยากตรงไหน ? เพราะปัตตานุโมทนามัยต้องเกิดจากจิตของเราที่ประกอบด้วยมุทิตา ก็คือยินดีในความดีของอื่นจริง ๆ ว่า โอหนอ...ในขณะที่เราไม่มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศลอย่างนี้ คนอื่นกลับมีโอกาสได้สร้างบุญนั้น ๆ ช่างน่ายินดีจริงหนอ ความรู้สึกต้องเป็นลักษณะนี้จึงจัดเป็นปัตตานุโมทนามัย
แต่ญาติโยมในปัจจุบันนี้ เวลาเห็นคนอื่นทำความดีก็ยกมือสาธุ ส่วนหนึ่งการสาธุแฝงความหมายว่า "กูจะเอาของมึง" ก็แปลว่าสภาพจิตของเราไม่ได้ยินดีในบุญกุศลของเขาจริง ๆ แต่ประกอบไปด้วยโลภะเจตนา ก็คือตั้งใจจะเอาบุญที่คนอื่นเขาทำ เป็นการวางกำลังใจผิด ถ้าวางกำลังใจผิดก็จะไม่เป็นบุญในปัตตานุโมทนามัย
๘.ธัมมัสสวนมัย บุญที่เกิดจากการฟังธรรมแล้วน้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดผล ถ้าฟังอย่างเดียวจะได้อานิสงส์น้อยเพราะว่าจิตเป็นสมาธิน้อย ฉะนั้น...ต้องทำให้ได้ผลถึงจะเป็นบุญเป็นกุศลอย่างแท้จริง ๙.ธัมมเทสนามัย เมื่อทำได้แล้วก็นำไปเผยแผ่ต่อ นำไปสั่งสอนคนอื่นเขาต่อ อย่างที่พระขึ้นเทศน์หรือแสดงธรรม หรือว่าครูบาอาจารย์แนะนำวิธีการปฏิบัติให้แก่คนอื่น หรือแม้กระทั่งปากเปียกปากแฉะด่าว่าลูกศิษย์ แต่ถ้าประกอบด้วยจิตเมตตากรุณาจริง ๆ หวังให้ลูกศิษย์ได้ดีหรือว่าพ้นจากกองทุกข์ ก็จัดอยู่ในส่วนของธัมมัสเทสนามัยทั้งนั้น
ข้อสุดท้าย ข้อที่ ๑๐ เป็นส่วนกำไรอยู่ในกระเป๋าโดยตรง เรียกว่า ทิฏฐุชุกัมม์ คือ มีความเห็นเป็นสัมมาทิฐิ รู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นความดี เราตั้งใจจะทำตาม"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2016 เมื่อ 12:53
|