ความจริงพระวัดท่าขนุนของเรา ส่วนใหญ่แล้วจะมีการศึกษาทางโลกมาก่อน อย่างไม่มีเลยในปัจจุบันนี้ก็จบ ม.๖ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงพอไปแข่งกับบรรดาเด็กต่างด้าวได้ อาตมาใช้คำว่า "ไปตบเด็ก" บางคนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ส่วนเด็กพม่า เด็กกะเหรี่ยง บางทีกว่าจะปั้นหนังสือไทยได้สักบรรทัดหนึ่งปาไปครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าคุณภาพต่างกัน วัดอื่นเขาจะมาว่าวัดท่าขนุนก็ไม่ถูก
ท่านปัญญาเป็นอย่างไรบ้าง ? อักขระเลขยันต์นี่เข้าใจขึ้นเยอะเลยว่ามาจากไหน..ใช่ไหม ? คุณไม่ได้เจตนาเรียนบาลี แค่จะหนีคนเท่านั้นเอง แต่ไหน ๆ เรียนแล้วก็เอาให้เต็มที่ เขามาก็ปฏิเสธเขาได้ แหม...ไม่ใช่ประเภทปฏิเสธคนไม่เป็น ท้ายสุดก็ต้องหนีเขา ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องหนีไปทั้งชาติ ผมเองนั่งรับสังฆทาน ถ้าหมดเวลาผมก็ลุกเลย ประเภทเพิ่งมา "เดี๋ยวก่อน ๆ" นี่ผมไม่ได้ยินหรอก จะเจริญศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบด้วย ดูว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่ใช่เรียกใช้ตูก็ไปกับเขาเรื่อย ไม่มีเวลาจะภาวนา ไม่มีเวลาจะพักผ่อน ท้ายสุดต้องหนีมาเรียนหนังสือ
ผมนึกถึงตัวเองเหมือนกัน ช่วงเรียนหนังสือเป็นช่วงพักผ่อน อยู่กับวัดนี่งานสารพัด บางคนบอกว่าอาจารย์ขยันเรียนจริง ๆ ไม่เคยขาดเลย บอกไปว่านี่แหละเวลาพักผ่อนของผม
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2015 เมื่อ 15:34
|