เนื่องจากว่าในสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระคาถาบทนี้ยังเป็น "คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์" อยู่ ก็มีท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ที่ท่าเตียน ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นจังหวัดพระนคร แยกกับจังหวัดธนบุรี นายห้างประยงค์ท่านนำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ไปภาวนาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ปรากฏว่าเงินทองไหลมาเทมา กิจการห้างขายยาตราใบโพธิ์สร้างความร่ำรวยให้อย่างมหาศาล ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่ารายได้มาจากไหนมากขนาดนั้น จนนายห้างประยงค์ท่านสำรองเงินให้หลวงปู่ปานไว้ใช้ก่อสร้างได้ตลอดเวลา ๒๐,๐๐๐ บาท ถ้าหลวงปู่ขาดเงินก่อสร้างเมื่อไรเบิกได้ทันที
ถ้าโยมคิดว่าเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทก็แค่นิดเดียว อาตมายืนยันว่าไม่นิด เพราะว่าสมัยนั้นโบสถ์หลังหนึ่งสร้างได้ในราคาแค่ ๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันโบสถ์แต่ละหลังราคา ๒๐ ล้านบาท ถ้าหากว่าตีกันง่าย ๆ ว่านายห้างประยงค์สำรองเงินไว้ ๒๐,๐๐๐ บาทสร้างโบสถ์ในสมัยนั้นได้ ๔ หลัง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องสำรองเงินไว้ให้หลวงปู่ปาน ๘๐ ล้านบาท..! นั่นเกิดจากพระคาถาบทเดียว
พอมาถึงสมัยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านพัฒนาจนเป็นพระคาถาขึ้นมา จากพระคาถาต่าง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้ จนกลายเป็นพระคาถาเงินล้านขึ้นมา ท่านบอกให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้นำไปใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ ปรากฏว่าญาติโยมทั้งหลายส่วนใหญ่รับฟังแล้วก็ผ่านหูไปเฉย ๆ หรือว่าท่านใดที่คิดจะทำก็ภาวนาเสีย ๙ จบ ซึ่งอาตมามีความเห็นว่า ถ้าเราต้องการเงินมากก็ต้องทำงานมาก ไม่ใช่ภาวนา ๙ จบแล้วคิดจะรวยมาก ควรที่จะทำให้มากกว่านั้น
เมื่อไม่มีใครเป็นตัวอย่างได้ ดังนั้น..อาตมาจึงคิดว่า เราควรจะเป็นตัวอย่างเสียเอง อาตมาจึงใช้เวลาอยู่ประมาณ ๓ พรรษาเต็ม ๆ คือ ๓ ปี เป็นเวลาประมาณพันกว่าวัน ภาวนาพระคาถาเงินล้านต่ำสุดวันละ ๓๐๐ จบ ทำให้เงินทองไหลมาเทมาตั้งแต่ยังเป็นพระใหม่ เพราะว่าหลังจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกเรื่องพระคาถาเงินล้านได้ประมาณปีหนึ่ง อาตมาก็บวช ก็คือบวชปี ๒๕๒๙ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่มีวันใดที่ไม่ภาวนาพระคาถาเงินล้านเลย โดยเฉพาะในช่วงที่อยู่วัดท่าขนุน ตอนเดินบิณฑบาตจะภาวนาได้มากที่สุด เนื่องจากว่าเดินบิณฑบาตประมาณเกือบ ๒ ชั่วโมง ระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตร
ฉะนั้น...ในส่วนนี้อาตมาจะทำงานในวัดก็ดี ทำงานนอกวัดก็ดี ไม่มีความหนักใจเลย สามารถทำงานทุกอย่างได้โดยที่คนเขาสงสัย โดยเฉพาะช่างรับเหมาก่อสร้างที่วัดท่าขนุนถามว่า "หลวงพ่อเสกเงินได้ใช่ไหม ?" อาตมาบอกว่าเสกได้เหมือนกัน แต่เป็นการเสกด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่เสกได้ด้วยตัวเอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2015 เมื่อ 17:56
|