ขอเสริมของท่านอาจารย์เล็กนิดหนึ่ง เรื่องใจผ่องใสนะ หลวงตานี่ตัดพ้อตัวเองอยู่ในใจ เพราะเป็นคนที่ไม่ได้เห็นอะไรเลย ก็ถามท่านว่าการรู้การเห็นเป็นอย่างไร ? ภาพชัดกับในใจต่างกันอย่างไร ?
ตอนนั้นกำลังกวาดวัดอยู่ หลวงตาเป็นคนกวาดโบสถ์วัดท่าซุงนะ เตรียมพิธีบวชนาค รุ่นท่านเล็กนี่หลวงตาก็จัดพิธีให้ แล้วก็เป็นคนที่สวดปาฏิโมกข์ ๔-๕ ทุ่มก็ทำความสะอาดโบสถ์อยู่ วันนั้นอารมณ์ยังค้างอยู่นะ ว่าการรู้การเห็นทิพจักขุญาณเป็นอย่างไร เสียงหลวงพ่อมา วันนั้นเพิ่งได้ยินก็คราวนั้นแหละ วันนั้นท่านอยู่ไกลมาก อยู่ถึงบางขุนนนท์
เสียงเข้าไปในหัวว่า "ไอ้ควาย..ไปเอาถังตักน้ำมา" ทั้ง ๆ ยังสงสัยก็ไปตัก ก็เอาถังไปรองน้ำมา คืออารมณ์มโนมยิทธิไม่ใช่ได้ยินด้วยหูนะลูก ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เข้าไปในใจเหมือนท่านพูด ท่านให้เทน้ำลงไปทั้งถังบนพื้นคอนกรีตที่เดินนั่นแหละ "เห็นอะไรไหม ?" ก็เห็นคอนกรีตนั้นแหละ ท่านบอก “ไอ้ควาย..!” ท่านก็ให้ราดน้ำลงไปใหม่อีก ถามว่า "เห็นอะไร ?" "ก็เห็นน้ำ" ท่านบอก "ไอ้ควาย..!" อีกแล้ว
วันนั้นพระจันทร์ ๑๔ ค่ำพอดีนะ เห็นดวงจันทร์อยู่ในน้ำ เห็นก้อนเมฆ แล้วมองเอียง ๆ มองก็เห็นจตุรมุข ท่านบอก “เออ..จำไว้ลูก พื้นคอนกรีตซึ่งหยาบ ไม่มีความใส ไม่มีความนิ่ง ย่อมจะไม่เห็นความเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตามความเป็นจริง แต่ถ้าพื้นนั้นมีกระแสน้ำ เรียบ ใส พอมองลงไปอะไรที่เป็นจริงอยู่จะสะท้อนให้เห็นความจริงเสมอ มีพระจันทร์ก็เห็นพระจันทร์ จะเห็นควายบนฟ้าไม่ได้”
เห็นเฉพาะความจริงที่ตามความเป็นจริงนะลูก ไม่ใช่ภาพเฟ้อฝัน มองให้ถูกมุม ถูกแง่ อยากจะเห็นอะไรก็กำหนดจิตด้วยใจสงบ ภาพจะสะท้อนให้เห็น จำไว้ลูก ถ้าคอนกรีตมีความใส มีความสงบนิ่ง ยังสะท้อนตามความเป็นจริงได้ แล้วใจของแกทำให้สงบเหมือนน้ำได้ไหม ? อยากรู้อะไรก็กำหนดลงไป ขอให้รู้ในใจชัดเจนเหมือนภาพในน้ำ ภาพจะปรากฏ ทั้งชีวิตหลวงตาได้มาแค่นี้แหละ อธิบายจนตายก็อธิบายไม่หมด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-09-2015 เมื่อ 02:35
|