ดังนั้น..เมื่อมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่อาตมาเจอ ก็คือทันทีที่เห็นยมทูตท่านมายืนจังก้าอยู่ ความรู้สึกแรกก็คือ “เอ๊ะ..เราจะตายแล้ว” ก็แปลว่าใจห่างจากความตาย ไม่ได้คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ไม่อย่างนั้นความรู้สึกจะไม่เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกจะต้องอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะตาย แต่นั่นความรู้สึกดันบอกว่า "เอ๊ะ...เราจะตายแล้ว"...
ประการที่สองก็ คือ ไปคิดว่าถ้าเขามารับญาติโยม มีใครพร้อมที่จะไปกันบ้าง ? ถ้ายมทูตมารับนี่ถือว่าโชคดีแล้วนะ เพราะว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ถ้ายมทูตมารับ โอกาสรอดมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเรามักจะอุทิศส่วนกุศลโดยขอให้พระยายมราชเป็นพยาน อาตมาก็อุตส่าห์ไปกังวลว่าถ้าเขามารับลูกศิษย์แล้วเขาพร้อมหรือยัง ? ต้องเรียกว่าห่วงไม่เข้าเรื่อง แต่จะไม่ห่วงเลยก็ผิดวิสัย เพราะในความที่เคยเป็นผู้นำเขามาหลายชาติ แม้กระทั่งชาตินี้ ก็อดไม่ได้ที่จะไปคิดไปห่วงใย ถ้าตายตอนนั้นก็เรียบร้อยเหมือนกัน คงอีกนานกว่าจะควานหาพระนิพพานเจอ เพราะว่ายอดฝีมือระดับหลวงปู่พุฒิ วัดทุ่งแก้ว อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านยังไปติดอยู่ที่พรหมชั้นที่ ๑๒ แล้วอาตมาเองไม่ได้เก่งอย่างนั้น ดูท่าจะไม่รอดแน่..!
เพราะฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ญาติโยมทั้งหลายจะประมาทไม่ได้ เราจะไปคิดว่าเราเจริญกรรมฐานทุกวัน การเจริญกรรมฐานทุกวันไม่ใช่เครื่องรับประกันว่าเราจะไปพระนิพพานได้ การจะไปพระนิพพานได้อยู่ที่ใจของเราปลดวางภาระทั้งปวงได้หรือไม่ ? เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนี้..เราพร้อมหรือไม่ ? คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติของเรามีไหม ? สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เราพร้อมจะทิ้งไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่ ? อาตมารับรองว่าเจ๊งทุกราย เพราะตอนธรรมดาสามารถตอบได้..เพราะรู้ว่าต้องตอบว่าพร้อม แต่เรื่องของการปฏิบัติ ไม่ใช่รู้คำตอบแล้วจะรอด แต่อยู่ที่ใจของเราที่ต้องวางได้จริง ๆ ถ้าใจไม่พร้อมที่จะวาง ทั้งยึด ทั้งเกาะ ทั้งหน่วง ทั้งเหนี่ยว ทั้งดิ้นรนสารพัดเพราะไม่อยากตาย..ก็ไปไม่รอด...
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-09-2015 เมื่อ 13:57
|