"เรื่องของบุหรี่แต่ดั้งแต่เดิมมา ต้องบอกว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ปู่ย่าตายายเราถวายพระเป็นปกติ ในเมื่อถวายเป็นปกติก็แสดงว่าไม่ใช่โลกวัชชะ คือโลกไม่ได้ติเตียน แต่พอมาระยะหลัง วิทยาการสมัยใหม่ทำให้เขารู้ว่าบุหรี่เป็นต้นเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยมาก ก็เลยมีการรณรงค์กันว่าห้ามสูบบุหรี่ โดยเฉพาะตอนนี้พื้นที่หลายส่วน เช่น สวนสาธารณะก็ดี โรงภาพยนตร์ก็ดี รวมทั้งวัดวาอารามด้วย เป็นสถานที่ห้ามสูบบุรี่โดยอัตโนมัติ พระเณรเราจึงควรที่จะพยายามเลิกให้ได้ ที่ลงทุนไปมากแล้วเลิกไม่ได้ก็หลบ ๆ ไปสูบคนเดียวในห้องตัวเอง จะได้นั่งดมเองให้สะใจ"
ถาม : บุหรี่ไม่ถือว่าเป็นสารเสพติดหรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาไม่ถือเป็นสารเสพติด ในเมื่อชาวบ้านเขาถวาย พระก็ฉลองศรัทธาไปเรื่อย ไม่ว่าจะบุหรี่ ไม่ว่าจะหมาก ไม่ว่าจะยานัตถุ์
ถาม : กาแฟละครับ ?
ตอบ : รอดูว่าเขาจะหาเจอหรือเปล่าว่ากาแฟทำให้เกิดโรคร้าย ถ้าเจอเดี๋ยวก็รณรงค์กันต่อไป
ถาม : กาแฟทำให้ติด ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยเสพ เลยไม่รู้ว่าติดหรือเปล่า ? บางทีขึ้นอยู่กับคน เพราะว่าสมัยก่อนอาตมาทำงานเป็นช่างสี พ่นสีรถแต่ละคันกว่าจะเสร็จ ๒ ชั่วโมงครึ่งถึง ๓ ชั่วโมง เมาน้ำลายยืดทุกครั้ง ทำอยู่ตั้งหลายปีไม่เห็นจะติด แต่พวกดมทินเนอร์ดันติด เดี๋ยวก็มา “พี่ ๆ ขอซื้อ ๒ บาท” เอาสำลีมาให้อาตมาเทให้ จนรำคาญยกให้ไปขวดหนึ่ง “มึงเอาไปเลย” “ไม่เอาพี่ เดี๋ยวอดใจไม่ได้..ตาย” กลัวตายแล้วเสือกจะดม..! ก็เลยสงสัยว่าตกลงว่าติดเพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็น่าติด ทำงานเป็นอาชีพเลย แต่ปรากฏว่าไม่เห็นจะติดอะไร
อีกคน ก็คือ พระครูแสง พระน้องชาย ไอ้นั่นเหล้าก็กิน เบียร์ก็กิน บุหรี่ก็สูบ กัญชาก็เล่น เอาทุกอย่าง พอถึงเวลาจะเลิกก็เลิกโครมเดียวเลย ไม่เห็นจะไปติดไปอะไร ก็ไม่เห็นจะลงแดงกับใคร บางทีคิดว่าอยู่ที่กำลังใจคน ในเมื่อสำคัญที่กำลังใจ ตกลงว่าสารเสพติดนี่เขาวัดกันตรงไหน ? ถ้าวัดตรงคนติด แล้วทำไมบางคนไม่ติด ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2015 เมื่อ 20:39
|