ต่อมาก็มาพูดกันในวัดท่าซุง…คนนอกนะลูกที่พูดว่า ไปหาพระอรหันต์ที่กุฏิข้างเมรุกัน
หลวงพ่อท่านก็คงเอาจดหมายให้หลวงพี่นันต์อ่าน ทราบว่าหลวงพี่บางองค์ก็ร้อนใจ ถามหลวงพ่อว่าจะจัดการอย่างไร ทราบว่าหลวงพ่อก็ถามว่า
“แล้วเขาพูดยอมรับหรือเปล่าว่าเขาเป็นพระอรหันต์”
โธ่เอ๋ย ! ก็ตกหนักเป็นหน้าที่หลวงพี่นันต์ ท่านคงคิดหาทางจะรับกระแสกรรมที่กำลังร้อนรนพอสมควรอยู่ คืนหนึ่ง...ท่านก็โทรศัพท์มาที่กุฏิพูดชี้แจงแบบนุ่มนวลว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่อยากให้เป็นโทษต่อพี่น้องในวัดท่าซุง ถ้าปล่อยให้ต่างองค์ต่างก็คิดกันไปตามอารมณ์ตน และปล่อยให้ข่าวลือนี้ยังกระพือโพลงอยู่ คนชอบก็เฟื่องฟูไปในทางถูกหรือไม่ถูก ท่าน..(หลวงตา)ก็ทราบเองดีอยู่.. คนไม่ชอบไม่เชื้อก็ร้อนรนคล้ายริษยาว่ากันไปตามอารมณ์ หลวงพ่อก็คงไม่สบายใจ ถ้าอย่างไรท่าน (หลวงตา) คิดจะระงับยับยั้งอย่างไรก็ช่วยกันคิด จะดีไหม...เพื่อความสงบสุขในหมู่สงฆ์วัดเรา...”
ลูกหลานเอย ตอนนั้นนะ ! หลวงตาตอบได้เลยว่าหลวงตาไม่ได้หลงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพระดีตามข่าว แต่...ลูกเอย หลวงตาติดใจในโลกธรรม คือความสรรเสริญเคารพนบนอบ และลาภที่เกิดจากน้ำใจใฝ่บุญของคนที่มาหาสู่ และหลวงตาก็รู้ว่าหลวงพี่นันต์ต้องการให้หลวงตายับยั้งการรับแขกลงบ้าง และให้ชี้แจงญาติโยมที่มาหานั้นถึงเรื่องที่ไม่ควรลือ ไม่ควรเชื่อ ไม่ควรพูดต่อกันไป เพราะหลวงตายังไม่ใช่พระอรหันต์...ยังคงต้องการความสงบและเวลาในการทำความเพียรอยู่ คือให้รีบเร่งอารมณ์ตัวเองและงดรับแขกที่กุฏิ... หลวงตาเข้าใจ ! แต่หลวงตาเสียดายอาลัยใยดีเหยื่อแห่งมารที่ตัวเองกำลังเสวยอยู่ จึงพาลพาโลตอบ ถามท่านไปว่า...
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ทาริกา : 29-07-2009 เมื่อ 10:05
|