"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีพระไปกราบไหว้ฤๅษี ซึ่งฤๅษีนั้นก็สนิทสนมคุ้นเคยกับอาตมาดี นั่นก็เป็นเหตุคล้ายคลึงกัน ก็คือกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา นับถือผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ท่านเรียกว่าอัญญสัตถุทเทส ก็คือถือผู้อื่นเป็นศาสดาแทน ก็เท่ากับปิดมรรคผลของตัวเองไปเลย
เนื่องจากอาตมาสนิทสนมใกล้ชิดกับฤๅษีท่านนั้นด้วย ก็รู้ว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ก็คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีอยู่ ถ้าท่านยินดีในลักษณะที่ให้พระมากราบไหว้ ก็แปลว่านำตนเองห่างไกลความสำเร็จไปอีกมาก คงจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ลำบากลำบนอีกเยอะ กว่าที่จะกลับมาได้ในระยะที่ใกล้เท่าเดิม
เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาก็มีข่าวทางเขมร พระภิกษุไปกราบไหว้ฆราวาสที่อ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่ เราจะว่าพระภิกษุเขมรได้รับการศึกษามาน้อยกว่าของเราก็ไม่ได้ เพราะว่าพระภิกษุจากเขมรมาศึกษาพระวินัยจากเมืองไทยไป แล้วก็นำเอารูปแบบการปฏิบัติจากเมืองไทยไปใช้ จนกระทั่งเขมรก็มีมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเหมือนกัน เราจะบอกว่าเขารู้น้อยก็ไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดแล้วทำให้ตนเองต้องลำบาก ขณะเดียวกันผู้อื่นก็ลำบากไปด้วย เกิดกรรมหนักทั้งสองฝ่าย
เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ทำให้ชัดเจน ไม่ชี้แจงให้ชัดเจน ต่อไปพอญาติโยมเห็นว่าพระไปกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แล้วไปชื่นชม ก็เท่ากับว่าโมทนาสิ่งที่ไม่ดี ก็จะเกิดโทษกับตัวเองด้วย ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าแค่กึ่งพุทธกาล นี่แค่ ๒๕๕๗ ปีเท่านั้น ถ้าเราจะนับตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เพิ่งจะ ๒๖๐๒ ปีเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติก็ยังนอกลู่นอกทางถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งนานไป ถ้าไม่มีใครทำให้ชัดเจน ก็จะยิ่งเละเทะหนักขึ้นไปอีก"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 13:59
|