ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 20-07-2009, 07:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,418,009 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อทรงตัวแล้วก็ให้แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากนั้นก็ก้าวไปสู่ห้วงของการทำงานต่าง ๆ อย่างเช่นการกำหนดรู้สภาพร่างกายของเรา ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา หรือว่ากำหนดเห็นความเกิดดับของสภาพร่างกายนี้ให้เป็นปกติ หรือจะกำหนดว่าร่างกายนี้มีความเป็นทุกข์ เป็นโทษอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนกับเลี้ยงเสือร้ายไว้ให้อ้วน แล้วก็มาขบกัดทำร้ายเรา ผู้เป็นเจ้าของ

ดังนั้น..ถ้าจิตใจของท่านตัด ละออกได้จริง ๆ ก็จะทำให้ตัวของเราเองเบาทั้งกาย เบาทั้งใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นการที่เราพิจารณาธรรมต่าง ๆ จะง่าย เมื่อจิตยอมรับสภาพแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ความห่วงหาอาลัยต่าง ๆ ก็จะลดน้อยถอยลง จนกระทั่งหมดไปเอง

ท่านทั้งหลายจึงมีหน้าที่ที่ต้องทำเป็นประจำก็คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แผ่เมตตา พิจารณาในวิปัสสนาญาณข้อต่าง ๆ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีเวลามากน้อยสักเท่าไร ถ้าหากท่านใดไม่ถนัดในการพิจารณาเห็นความเกิดดับ เห็นความเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นความเป็นของน่ากลัว จะพิจารณาในความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุดก็ได้ หรือพิจารณาให้เห็นในความเป็นทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เศร้าโศกเสียใจ ความปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ หรือว่ากระทั่งท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

จากเมื่อประมาณสองอาทิตย์เศษที่ผ่านมา เจ้าอาวาสวัดหินแหลมที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นอบรมเจ้าอาวาสมาด้วยกัน ก็ถึงแก่ความตายลงด้วยอุบัติเหตุ ท้ายสุดวัดวาอารามที่พยายามเสริมสร้างจนใหญ่โตก็ดี ทรัพย์สินสิ่งของต่าง ๆ ก็ดี ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นำติดตัวไปได้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ติดตัวเราไปแล้วเป็นผลแก่ตัว ก็คือบุญกุศลต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากศีล เกิดจากสมาธิ เกิดจากปัญญา

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องปฏิบัติงานที่สำคัญ เป็นงานที่ชำระจิตชำระใจของตนให้ขาวสะอาด ให้บริสุทธิ์อยู่ในทุกวัน เมื่อปฏิบัติรักษาจิตได้แล้วก็ให้ประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เท่าที่พึงนานได้ เพื่อเป็นการรักษากำลังใจเอาไว้ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินได้มากนัก แล้วหลังจากนั้นค่อยไปคิด ไปตัด ไปละ ไปถอนความยินดีในร่างกายนี้เสีย ถ้าเราไม่ยินดีในร่างกายของเรา ก็ไม่ยินดีในร่างกายของคนอื่นด้วย ก็แปลว่าในเมื่อตัวเรายังไม่ต้องการ แล้วจะไปต้องการร่างกายคนอื่นไปทำไม

ท่านทั้งหลายจงกำหนดการภาวนา การแผ่เมตตาและการพิจารณาต่าง ๆ ดังนี้ ถ้าหากว่าครบรอบแล้วก็เริ่มต้นใหม่ ถ้ายังไม่ครบรอบก็ภาวนาไปเรื่อย ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ให้กำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกหรือไม่มีคำภาวนาให้กำหนดใจรู้ไว้ว่าสภาพมันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าอยากให้มันเป็น และอย่ากลัวที่มันเป็น ทำใจเฉย ๆ ถ้าสามารถทำได้ดังนี้ก็จะก้าวขึ้นสู่สมาธิเบื้องสูงไปเรื่อย ๆ ได้ ยิ่งสมาธิสูงทรงตัวมากเท่าไหร่ปัญญาก็ยิ่งเกิดง่ายขึ้น

สำหรับตอนนี้ให้ทุกคนอยู่กับคำภาวนา อยู่กับการพิจารณา อยู่กับการกำหนดรู้ตามสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ปฏิบัติไปจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกให้เลิกได้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ที่บ้านอนุสาวรีย์ช่วงทำกรรมฐาน
วันศุกร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2009 เมื่อ 13:25
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา