ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 20-02-2014, 08:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,999 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเราปฏิบัติในเรื่องของศีล ในเรื่องของสมาธิแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อสภาพจิตของเรานิ่งสงบอย่างแท้จริง ถ้าเรามองต่อไปถึงจุดสุดท้ายว่า ร่างกายนี้นอกจากสกปรกโสโครกแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา มีปกติเป็นสมบัติของโลก เพราะเกิดจากธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมรวมตัวกันชั่วคราว ให้เราได้อาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา

ในเมื่อเป็นเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่ยึดถือมั่นหมายได้ว่าเป็นเราเป็นของเรา เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป บังคับบัญชาไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายเช่นนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีก การเกิดมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราก็ไม่ปรารถนาอีก เรามีความปรารถนาอย่างเดียวก็คือพระนิพพาน ถ้าเราสามารถปล่อยวางลงได้อย่างแท้จริง ไม่มีจิตยึดเกาะต้องการในขันธ์ ๕ นี้อย่างแท้จริง เราก็จะสามารถเข้าถึงปัญญาขั้นสูงสุด ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เป็นพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพานได้

ถ้าเราสามารถทำดังนี้ได้ คือปฏิบัติในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ไม่ว่าจะระดับพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดี หรือว่าพระอรหันต์ก็ตาม จึงจะเรียกได้ว่าเป็นมงคลอย่างแท้จริง และถือว่าเป็นมงคลที่ทรงตัวมั่นคง อยู่ยั้งยืนยงตลอดไป ไม่ใช่เป็นมงคลชั่วครั้งชั่วคราวในระยะปีใหม่ของจีนที่พวกเราได้กระทำกัน

อันดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดการภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2014 เมื่อ 16:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา