ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 02-10-2013, 20:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,704 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนความพยาบาทโกรธเกลียดอาฆาตแค้นผู้อื่นนั้น โดยทั่ว ๆ ไปแล้วความโกรธสามารถมีได้ แต่อย่าให้เกิดเป็นความอาฆาตฝังลึกอยู่ในใจของเรา เพราะจะมีแต่เผาลนเราด้วยไฟโทสะ ทำให้เราต้องเดือดร้อนอยู่ฝ่ายเดียว ท่านให้แก้ด้วยพรหมวิหาร ๔ โดยเฉพาะความเมตตา รักสงสารเขาว่า บุคคลที่ไม่รู้ว่ากาย วาจา ใจ ที่เขาทำ เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นอย่างไร เขาถึงได้ทำ ในเมื่อเขาทำแล้วเขาไม่รู้ เขาไม่ได้เก็บมาคิด ตัวเราเองมาคิดโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นเขาอยู่ กลายเป็นตัวเราเอาไฟมาเผาตัวเองแท้ ๆ ถ้าเราพิจารณาเห็นอย่างนี้ จิตใจก็จะเริ่มผ่อนคลาย ปล่อยวาง ในที่สุดโกรธได้แต่ไม่ผูกโกรธ หรือว่าสามารถละความโกรธไปได้เลยก็ยิ่งดี

ข้อที่สามตัวถีนมิทธะนั้น เคยเกิดขึ้นกับพระโมคคัลลานะเถระ อัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเริ่มปฏิบัติความง่วงก็ปรากฏ ทำให้ไม่สามารถที่จะตั้งสติเพื่อที่จะปฏิบัติธรรมต่อไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จไปแนะนำวิธีแก้ความง่วง ว่าให้ "จ้องดาว..บิดคอ" ก็คือลักษณะของการเงยหน้าแล้วก็บิดคอตัวเอง เพื่อเรียกสติของเรากลับคืนมา ถ้าเป็นไม่มากนักก็จะทำให้หายง่วงได้

ถ้ายังแก้ไม่ได้ท่านบอกว่าให้ "ยอนหู..ถูตัว" คำว่ายอนหู ก็คือปั่นหูตัวเอง สมัยนี้สบายเพราะว่ามีไม้แคะหู มีที่ปั่นหูอยู่ทำให้เราได้สติ หายง่วงได้ หรือไม่ก็ถูตามร่างกายของตัวเอง ลูบตามร่างกายตัวเองเพื่อเรียกสติคืนมาจากความง่วง ถ้าแก้ไม่ได้อีก ท่านบอกว่าให้ "สวดสาธยายมนต์" บทที่เราจำได้ ถ้าเราสวดมนต์ ความรู้สึกของเราต้องจดจ่อเพราะกลัวจะสวดผิด ก็ทำให้ความง่วงนั้นคลายลง หรือถ้ายังแก้ไม่ได้ ท่านก็ให้ "เดินจงกรม" เมื่อเราเดิน ความง่วงก็จะลดลงหรือว่าคลายตัวหายไป

ถ้ายังแก้ไม่ได้อีก ท่านบอกว่าให้ "ยกเอาข้อธรรมข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมา แล้วขบคิดพิจารณา" กำลังใจที่พิจารณาในธรรม จะทำให้ความง่วงนั้นถอยไป ถ้ายังแก้ไม่ได้อีก ท่านบอกว่าให้ "เจริญในอาโลกสัญญา" คือกำหนดอาโลกสิณ นึกถึงแสงสว่าง เมื่อความสว่างเจิดจ้าปรากฏขึ้น ความง่วงก็จะหายไป ถ้ายังแก้ไขไม่ได้อีก พระองค์ท่านบอกว่าให้ "นอนสีหไสยาสน์" คือ นอนเสียให้หายง่วง แต่ให้ตั้งใจกำหนดว่าเวลาไหนที่เราจะตื่น เมื่อถึงเวลาแล้วให้ตื่นตามนั้น

ถ้าเป็นสมัยนี้เรามีนาฬิกาปลุก ก็ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ ถึงเวลาก็ตื่นขึ้นมาปฏิบัติต่อไป นี่คือวิธีแก้ไขกิเลสหยาบข้อที่สามก็คือถีนมิทธะ ความง่วงนอนตลอดจนความขี้เกียจในการปฏิบัติ

ข้อที่สี่คืออุทธัจจะกุกกุจจะ ท่านบอกว่าคือความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญ ทำให้สมาธิไม่ทรงตัว การแก้สิ่งนี้ก็ต้องเอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก โดยเฉพาะการกำหนดฐานภาวนา เพื่อให้จิตมีงานทำมากขึ้น จะกำหนดเป็นสามฐานก็ได้ เจ็ดฐานก็ได้ สภาพจิตที่นอกจากรู้ลมหายใจเข้าออก รู้คำภาวนาแล้ว ยังต้องรู้เมื่อลมผ่านฐานต่าง ๆ ของร่างกายด้วย กำลังใจที่จดจ่ออยู่ก็จะทำให้เราหายจากอาการหงุดหงิด กลุ้มใจ รำคาญใจได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2013 เมื่อ 01:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา