ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 30-09-2013, 20:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,968 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖

ให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงลมหายใจเข้าออกของเราเป็นหลัก เพราะว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ลมหายใจเข้าออกเป็นพื้นฐานใหญ่ที่สำคัญที่สุด เวลาหายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดเป็นฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐานอย่างไรก็แล้วแต่ที่เราเคยมีความถนัด ใช้คำภาวนาตามที่เราเคยชินมาก่อน สภาพจิตจะได้ยอมรับได้ง่าย

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานของเดือนกันยายน ซึ่งต่อเนื่องกับปลายเดือนสิงหาคม เป็นวันที่สอง วันนี้มีผู้ถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติในเบื้องแรก ๆ ที่จะพบกับอุปสรรค ก็คือนิวรณ์ทั้ง ๕ อย่าง

นิวรณ์ เป็นกิเลสหยาบที่มาขวางกั้นกำลังใจของเรา ไม่ให้เข้าถึงความดี คือ เข้าไม่ถึงสมาธิที่จะทรงตัวแนบแน่น จนมีกำลังเพียงพอตัดกิเลสได้ นิวรณ์ทั้ง ๕ ประกอบไปด้วย ข้อที่หนึ่ง..กามฉันทะ คือความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย ตลอดจนกระทั่งสัมผัสระหว่างเพศ ข้อที่สอง..พยาบาท คือความโกรธเกลียดอาฆาตแค้นผู้อื่น ข้อที่สาม...ถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ ข้อที่สี่..อุทธัจจกุกกุจจะ ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ข้อสุดท้าย...วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะมีผลจริงหรือไม่

ขณะที่ท่านภาวนา สภาพจิตจะโดนรบกวนด้วยนิวรณ์ทั้งห้าอย่างนี้เป็นปกติ ถ้าเราโดนนิวรณ์รบกวน แปลว่าความรู้สึกของเราไม่ได้มั่นคงอยู่กับลมหายใจจริง ๆ เผลอหลุดไปคิดเรื่องอื่นแล้ว เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ พอหลุดไปอีก รู้ตัวเมื่อไรก็ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอีก แรก ๆ ต้องต่อสู้กันอย่างนี้ค่อนข้างจะหนักหน่วงรุนแรง

ครูบาอาจารย์หลายท่านแนะนำว่า ถ้ารู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว ให้ตามดูความคิดของตนเองไป เหมือนกับเราขี่ม้าพยศ อย่างไรเสียม้าก็ไม่ยอมให้เราขี่แต่โดยดี ต้องดิ้นรนสะบัดเหวี่ยงเพื่อให้เราหล่นจากหลังม้า ท่านแนะนำว่าให้ตามดูไปเหมือนกับเรากอดคอม้าไว้ แล้วปล่อยให้ม้าวิ่งเตลิดไปตามแรงของมัน ถ้าเราตามดูตามรู้จริง ๆ การฟุ้งซ่าน ความคิดต่าง ๆ ที่พาไปให้เกิดนิวรณ์นั้น จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓๐ นาที แล้วเราจะเห็นว่าเขาจะเริ่มต้นคิดใหม่ เหมือนกับนับ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ พอครบสิบก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ วนเวียนไปมาอย่างนี้ ถ้าเราตามดูไปเรื่อย ๆ พอสภาพจิตคิดจนเหนื่อย ก็จะยอมให้เราดึงกลับมาที่การภาวนาได้ง่ายขึ้น

หรือไม่ก็ท่านทั้งหลายต้องมีวิธีการจัดการกับนิวรณ์แต่ละอย่าง อย่างเช่นในเรื่องของกามฉันทะ เน้นเอาว่าเราพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ให้เราพิจารณาดูว่า การที่เราเกิดมาทุกข์ยากอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดจากเรื่องของกามฉันทะ คือความยินดีและพอใจในกามนี้เอง ทำให้เราตัด สลัด ละ ไม่หลุด แล้วก็ต้องมาเดือดร้อน เกิดมาทุกข์อย่างนี้ชาติแล้วชาติเล่า ถ้าการเกิดมาแล้วต้องทุกข์อย่างนี้ เราก็ไม่ควรที่จะไปข้องเกี่ยวกับกามทั้งหลาย ก็ต้องตั้งใจอย่างเด็ดขาดในการละเว้น ถ้าเราเห็นโทษจริง ๆ สภาพจิตจะเกิดความเข็ด กลัว เบื่อหน่าย ในที่สุดก็ถอนความปรารถนาในกามออกได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2013 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา