ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 15-07-2013, 20:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,848 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เราเองจำเป็นจะต้องจัดการให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจจะติดอยู่เช่นนั้นเป็นปี ๆ หรือเป็นหลายปี ภาวนาเมื่อไรก็อยากเห็นนิมิตเช่นนั้นอีก ถ้าท่านภาวนาด้วยความอยาก จะไม่มีวันได้เห็นนิมิตเช่นนั้นอีก เพราะสภาพจิตที่ประกอบด้วยความอยาก ก็คือสภาพจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน เมื่อสภาพจิตกำลังฟุ้งซ่าน ย่อมไม่นิ่ง ไม่สงบพอ การรู้เห็นต่าง ๆ ย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

นักปฏิบัติจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ที่เสียหายเพราะว่าภาวนาแล้วอยากเห็นนิมิตอย่างที่เคยเห็น หรือสามารถจัดการกับนิมิตได้ แต่ว่าก็โดนหลอกลวง โดนชักจูง จนกระทั่งหลงไปจากแนวของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น..ครูบาอาจารย์บางสายอย่างเช่นสายวัดป่า ท่านถึงให้ละทิ้งนิมิตเสียให้หมด ไม่ต้องไปใส่ใจ กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเป็นหลัก

ถ้ากำลังใจทรงตัวจนตั้งมั่น ไม่สามารถที่จะภาวนาต่อได้แล้ว ก็ให้คลายกำลังใจออกมา เพื่อพิจารณาในเรื่องของวิปัสสนาญาณ อย่างเช่น พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราในร่างกายนี้ หรือว่าพิจารณาในอริยสัจ มองทุกข์ให้เห็น ค้นหาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ แล้วไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ๆ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเรา เป็นต้น

เมื่อพิจารณาไปจนกำลังใจทรงตัวตั้งมั่นดีแล้ว สภาพจิตก็จะกลับไปสู่การภาวนาโดยอัตโนมัติ เมื่อภาวนาไปจนเต็มที่อีก สภาพจิตก็จะคลายออกมา เราก็มาพิจารณาใหม่ ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2013 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา