เย็นวันอาทิตย์ มีผู้ถามพระอาจารย์ท่านเกี่ยวกับ"พระปิลินทวัจฉะ"ว่า พระปิลินทวัจฉะ มีปกติชอบเรียกบุคคลอื่นว่า"ไอ้ถ่อย" เหตุใดท่านจึงเป็นเอตทัคคะทาง"เป็นที่รักของเหล่าเทวดาทั้งหลาย" พระอาจารย์ท่านจึงเล่าให้ฟังในเรื่องนี้ว่า
"พระปิลินทวัจฉะ ท่านเคยเกิดในพราหมณ์ตระกูลสูงมาหลายร้อยชาติ เกิดในชาติไหน ๆ ก็มักจะเรียกบุคคลอื่น ๆ ว่า"ไอ้ถ่อย ๆ" มาในชาติสุดท้าย แม้บรรลุความเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ความเคยชินนิสัยเดิมยังไม่เปลี่ยน จนเกิดเรื่องว่า
วันหนึ่งมีพ่อค้าขนดีปลีขึ้นเกวียนมาแล้วเอาผ้าคลุมไว้ พอเดินผ่านพระปิลินทวัจฉะ พระปิลินทวัจฉะจึงทักว่า"ไอ้ถ่อย นั่นขนอะไรมารึ" พ่อค้าโกรธ จึงตอบกลับไปว่า"ก็ขนขี้หนูมาน่ะสิ สมณะโล้น(ฮั่นแน่!)" ผลปรากฏว่า พอพ่อค้าเข็นของไปถึงตลาด เปิดผ้าออกมา ดีปลีทั้งคันรถกลายเป็นขี้หนูไปหมด ร้อนไปถึงพ่อค้าที่เป็นเพื่อนกัน ถามว่า"ระหว่างทางท่านไปพบกับผู้ใดมาบ้าง" พ่อค้าคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่าพบพระแล้วมีการทักทายกันอย่างนี้ พ่อค้าเพื่อนกันจึงออกอุบายว่า"ท่านจงเอาขี้หนูห่อผ้าไป แล้วไปในทางที่ท่านมา หากพบภิกษุท่านนั้นอีก หากท่านถามว่าขนอะไรมา ให้ตอบกลับไปว่า"ดีปลีขอรับพระคุณเจ้า"แล้วค่อยกลับมาดูผล พ่อค้าคนนั้นก็ปฏิบัติตาม ก็หอบขี้หนูห่อผ้าไป พอไปพบพระปิลินทวัจฉะท่านก็ทักอีก"ไอ้ถ่อย นั่นขนอะไรมา" ทีนี้พ่อค้ารู้แกวแล้วจึงตอบกลับไปว่า"ดีปลีขอรับ พระคุณเจ้า" ท่านรับคำว่า"อ้อ ของนั้นเป็นดีปลี" ก็ปรากฏว่าขี้หนูทั้งหมดก็กลับกลายมาเป็นดีปลีดังเดิม(เป็นผมจะกราบเรียนท่านไปว่า"เป็นเพชร เป็นพลอย เป็นทอง ขอรับพระคุณเจ้า ๕๕๕ สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ต้องไปนั่งขายดีปลี)
พระอาจารย์ท่านเล่าว่า พระปิลินทวัจฉะ ท่านเห็นภัยอันนี้จะเกิดแก่บุคคลอื่น ท่านจึงเข้าไปอยู่ในป่า ปรากฏว่า เหล่าเทวดาที่เคยทำบุญร่วมกับท่านมาในอดีตชาติ แห่กันมาขอฟังธรรมจากท่าน ท่านเทศน์แล้วเป็นที่ชอบใจของเทวดามาก พระปิลินทวัจฉะ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็น"เอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักใคร่ของเทวดา"
|