ถาม : งานเยอะจนไม่มีเวลาภาวนา ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะวัดการปฏิบัติของเราได้อย่างไร ?
ตอบ : เอานิวรณ์ ๕ เป็นหลัก ถ้านิวรณ์กินใจเราได้ถือว่าเจ๊งแล้ว
ถาม : ถ้าเราทำงานจนไม่มีเวลาคิดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง แต่ไปฟุ้งเรื่องการงานแทน ?
ตอบ : ถือว่าฟุ้งซ่านเหมือนกัน เอาเป็นว่าเวลาทำงานให้กำลังใจอยู่กับงาน ถ้าเวลาว่างให้รีบดึงเข้ามาหากรรมฐาน ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอ เดี๋ยวฟุ้งแล้วจะไปยาว เพราะช่วงที่เราเผลอ เขาดึงเราไปได้แล้วจะเอาคืนยาก
ถาม : ถ้าเวลาทำงานเราก็ใช้วิธีว่าอยู่กับปัจจุบัน และเราทำงานเพื่อถวายพุทธศาสนา ตายตอนนั้นเราก็ไปพระนิพพาน เพราะเราไม่มีเวลาอื่นให้ทำแล้ว ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าใจของเราอย่าทิ้งพระ อย่าทิ้งความดีก็พอ อย่างน้อย ๆ ทำไปแล้วแบ่งกำลังใจส่วนหนึ่งเกาะภาพพระเอาไว้
ถ้ามีเวลาให้บันทึกประจำวันไว้ด้วยนะ เราจะได้เห็นแนวคิดและพัฒนาการของตัวเอง เวลามาอ่านทวนจะจับได้ว่าเราเองออกนอกลู่นอกทางไปตอนไหน ? แล้วเลี้ยวกลับเข้ามาตอนไหน ? เพียงแต่จะต้องว่ากันตรง ๆ พูดง่าย ๆ คือว่า เป็นอย่างไรให้เขียนไปตามนั้น อย่าไปปรุงแต่งเพื่อตั้งใจให้คนอื่นอ่าน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ใช่พัฒนาการของตัวเอง
ตอนนี้มารเขากำลังขวางเราอยู่ ไม่ให้เราทำความดี เขากลัวว่าเราจะได้ดีเร็ว เราก็ต้องพลิกแพลง
สรุปว่าแม่ไม่ต้องดูแลแล้วใช่ไหม ? นึกถึงพระครูน้อย กลับไปอยู่วัดหนองบัว แม่ก็ป่วยหนัก พอกลับมาดูแม่ แม่ก็หาย พอไปใหม่แม่ก็ป่วยอีก สรุปแล้วแม่เป็นโรคห่างลูกไม่ได้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2012 เมื่อ 13:27
|