ในเมื่อเราทราบแล้วว่ากำลังใจของเราอยู่ในระดับไหน ก็พยายามประคับประคอง สร้างเสริมกำลังใจของเราให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา เหมือนกับเป็นบันไดที่จะพาเราก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน บันไดทั้งหลายเหล่านี้เป็นบันไดที่ยืดยาวมาก เราจำเป็นที่จะต้องขยันก้าวเดินอยู่ทุกวัน เพื่อที่จะให้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้เร็วที่สุด ถ้าเราไม่ขยันก้าวเดินทุกวัน ก็จะเริ่มช้าลงไปทุกที
ดังนั้น..การที่ญาติโยมทั้งหลายอาศัยฤดูของกาลกฐิน ออกไปทำบุญกฐินตามวัดวาอารามต่าง ๆ แล้ว ก็ยังย้อนกลับมาเพื่อที่จะปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นความทุกข์ของร่างกายนี้ จนกระทั่งจิตใจปล่อยวาง ไม่มีความต้องการร่างกายนี้อีก ไม่ต้องการที่จะเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากอย่างนี้อีก มีกำลังใจปักมั่น จดจ่อในพระนิพพานแห่งเดียว ก็ถือว่าท่านทั้งหลายมาได้ถูกทางแล้ว วางกำลังใจได้ถูกที่แล้ว
ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่า ต้องระมัดระวังรักษากำลังใจของเรา ให้เกาะความดีในศีล ในสมาธิ ในปัญญาอย่างนี้ ให้ต่อเนื่องติดตามกันไปเรื่อย เพื่อที่ผลดีจะได้เกิดขึ้นกับเรา คือสามารถยกจิตของตนก้าวขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งท้ายสุดหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน ดังที่ทุกคนตั้งความปรารถนาเอาไว้ ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2012 เมื่อ 08:17
|