ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ฉวยโอกาสในวาระกฐิน ตลอดระยะการปฏิบัติกรรมฐาน ๓ วัน มีการเดินทางไปวัดวาอารามต่าง ๆ เพื่อร่วมในการทอดกฐิน และไม่หลงลืมที่จะย้อนกลับมาในการบำเพ็ญภาวนา ซึ่งถือว่ามีอานิสงส์มากกว่ากฐินหลายเท่า
สิ่งที่เราปฏิบัตินั้น ถ้าถามว่าเรายังมุ่งหวังในผลของบุญกุศลอยู่ จะเป็นการโลภหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าความมุ่งหวังนั้นต้องมีเป็นปกติ ถ้าเราไม่หวังเราก็จะไม่คิดที่จะกระทำ เราต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกำลังใจของเราเต็มแล้วก็จะค่อย ๆ ปล่อยวางได้เอง
คำว่าปล่อยวางนั้น ก็คือ ทำทานโดยไม่ผูกพัน ไม่ไปเสียเวลาคิดว่าสถานที่นั้นเหมาะที่จะเป็นเนื้อนาบุญหรือไม่ ? เขารับปัจจัยไทยธรรมจากเราไปแล้วได้เอาไปใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากที่เราตั้งใจไว้หรือไม่ ? ถ้ากำลังใจเต็มเสียแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจะวางอุเบกขาได้โดยอัตโนมัติ
แต่ตราบใดที่ยังไม่เต็ม การทำบุญโดยเลือกเนื้อนาบุญ ต้องถือว่าเป็นบุคคลที่มีความฉลาด รู้ว่าที่ไหนควรจะกระทำกองบุญการกุศล ที่ไหนควรจะละเว้น เมื่อเราเพิ่มด้วยศีล ด้วยภาวนาเข้าไป เราก็จะได้รับอานิสงส์ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๓ ส่วน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ธรรมะของพระองค์ที่พระภิกษุสงฆ์จะนำไปแสดงต่อญาติโยมนั้น ให้แสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ก็คือในเรื่องของการแนะนำให้ปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญานั่นเอง การที่เราจะปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญานั้น เราก็ต้องสั่งสมกองบุญการกุศลในอดีตมาเป็นจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน กว่าที่กำลังใจของเราจะยึดมั่นในหลักความดีทั้งหลายเหล่านี้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-12-2012 เมื่อ 02:21
|