กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=144)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9999)

ตัวเล็ก 22-01-2024 19:44

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗



เถรี 23-01-2024 00:18

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็เหลือกันน้อยหน่อย เพราะว่าส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อีกส่วนหนึ่งก็ไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ให้กับผู้ปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับย้ายวัดท่าขนุนไปครึ่งหนึ่ง อาจจะกลายเป็นแรงกดดันสำหรับพระวัดอื่น ๆ ได้

เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าตัวเองจะขาดบ้างเกินบ้าง ก็คงจะเกรงใจ เพราะว่าส่วนใหญ่เขาอยู่กันครบ นี่คือกำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านทั้งหลายฝึกฝนมา ทำให้เราสามารถที่จะต่อต้านกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ก็คือฝืนใจทำในสิ่งที่เราหรือว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบได้

ดังนั้น..ต่อให้เป็นการปฏิบัติในไตรสิกขาเบื้องต้น ถ้าทำดีทำถูก ก็ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับพวกเราอยู่แล้ว ถ้าหากว่าทำได้ในระดับกลาง หรือว่าในระดับสูง อาจจะจัดการยากด้วย เพราะว่าจะมีการรู้เห็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตามสภาพจิตที่นิ่งสงบของเรา

เพราะว่าโดยปกติแล้ว จิตของเราก็จะกระเพื่อมไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ก็เหมือนกับน้ำที่โดนลมเป่าใส่อยู่ตลอดเวลา กระเพื่อมเป็นระลอก โอกาสที่จะเห็นอะไรก็พร่ามัวเลือนลาง หรือว่าดูไม่รู้เรื่องไปเลย แต่ถ้าหากว่าจิตของเราสงบ ก็เหมือนกับน้ำนิ่ง ย่อมสะท้อนเงาทุกอย่างรอบข้างลงไป เหมือนกับของจริงทุกประการ

เพียงแต่ว่าตรงนี้มีข้อเสียก็คือ เรามักจะจัดการไม่ถูก เนื่องเพราะว่าบุคคลที่ทำมาถึงตรงจุดนี้ อันดับแรกเลย ไม่สามารถจะรักษาภาพนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราทั้งหลายจะใช้ความเคยชิน ก็คือพอภาพปรากฏ เราก็จะไปใช้สายตาเพ่งดูเพื่อให้ชัด การที่เราจะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพจิตของเราต้องเป็นสมาธิสูงได้ระดับนั้นพอดี การที่เรานึกจะใช้สายตาเพ่ง ก็คือการที่เราลดกำลังสมาธิลงมา เพื่อรับรู้ความรู้สึกทางร่างกาย สิ่งที่เราเห็นก็จะหายไป พอเราภาวนาต่อ ใจสงบ สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีก พอเราตั้งใจเพ่งดู ก็หายอีก บางท่านติดอยู่อย่างนี้เป็นสิบปีเลยก็มี..!

แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านในวิสุทธิมรรคก็ดี หรือว่าคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ตาม ท่านจะบอกว่า "อย่าไปสนใจในนิมิตเหล่านั้น" แต่เป็นเรื่องที่แปลกมากว่า ยิ่งเราไม่สนใจ นิมิตทั้งหลายเหล่านั้นจะยิ่งปรากฏชัดและอยู่ได้นาน

นี่คือวิธีรับมือกับนิมิตต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยอุเบกขาเป็นอารมณ์ ก็คือจะมาก็มา จะไปก็ไป เราไม่ได้ใส่ใจ
ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็ดูลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดรู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลง กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ก็แค่เอาสติตามรู้ไปเท่านั้น อย่าดิ้นรนออกจากสภาพเช่นนั้นเพราะความกลัวตาย

เนื่องเพราะคิดว่าถ้าไม่หายใจแล้วเราจะตาย แล้วก็อย่าพยายามบังคับตัวเองให้เข้าสู่สภาวะแบบนั้น เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่มีความชำนาญในการเข้าออกสมาธิ การที่จะบังคับตนเองให้เข้าสู่สภาวะเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เท่ากับว่าเป็นความฟุ้งซ่าน กำลังใจยิ่งฟุ้งซ่าน โอกาสที่เข้าถึงยิ่งไม่มี

แล้วนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะพาให้เสียมากกว่าดี จนกว่าที่กำลังใจของเราจะไปได้ถึงระดับหนึ่ง ก็คือในระดับที่ รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางลง นิมิตทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมีความถูกต้อง ชัดเจนมากขึ้นไปตามลำดับ เพราะว่าไม่โดนชักนำ หรือว่าปรุงแต่งด้วยกิเลสในใจของเรา จนกระทั่งทำให้ผิดเพี้ยนไป เฝือไป หรือพลาดไปเลยก็ได้

เถรี 23-01-2024 00:31

ในสมัยที่ยังอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่ง ท่านลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ด้วยกัน แล้วให้โอวาท ท่านบอกว่า "พวกแกทั้งหมดยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริงเลย" กระผม/อาตมภาพก็นั่งอ้าปากหวอ..! เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาของวัดท่าซุงในสมัยนั้นก็คือ ใครจะบวชต้องฝึกมโนมยิทธิได้ก่อน ต้องสามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ให้ได้ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าถ้าเราทำชั่วแล้วจะไปไหน ถ้าเราทำดีแล้วจะไปไหน ในเมื่อรู้ชัดเจนแล้ว ถ้ายังเลือกที่จะทำชั่วอีกก็ตามใจ..!

เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยว่า แล้วสิ่งที่พวกกระผม/อาตมภาพทำได้นั้นคืออะไร ? พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า "ผู้ที่จะได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริงต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะว่าจิตของท่านจะสะอาดจนกิเลสเกาะไม่ได้ โอกาสที่นิมิตทั้งหลายจะปรุงแต่งหลอกลวงท่านได้นั้นยากมาก สำหรับบุคคลอื่น มีแต่จะโดนหลอกลวงได้ตามลำดับลงมา ยิ่งเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ยิ่งมีโอกาสโดนหลอกลวงชักนำได้ง่ายที่สุด"

เราจะเห็นว่าหลายต่อหลายราย พอถึงเวลาก็กลายเป็นอาจารย์ใบ้หวย แล้วเรื่องเหล่านี้ก็แปลกมาก ก็คือถ้าหากว่าเราบอกคนอื่น มักจะถูก แต่ถ้าคิดจะเล่นเองเมื่อไร ความโลภที่เกิดขึ้น จะทำให้ผิดพลาดได้ กระผม/อาตมภาพทดลองมาด้วยตนเองแล้ว ก็คือถ้าเล่นเลขท้าย ๓ ตัวก็จะออกแค่ ๒ ตัว ถ้าเล่น ๒ ตัวจะออกแค่ตัวเดียว ถ้าเล่นตัวเดียวไม่ออกเลย เหมือนอย่างกับแกล้งให้เราเสียเงินให้เข็ด แต่ถ้าบอกคนอื่นเมื่อไรกลับแม่น..!

เมื่อมาพินิจพิจารณากันตั้งแต่ต้นยันปลาย ปลายยันต้น พอประสบการณ์มากขึ้น ถึงได้รู้ว่าตอนที่เราให้ผู้อื่นนั้น เราแทบจะไม่ได้หวังประโยชน์อะไรเลย จิตใจมีความสะอาดมากกว่า อนาคตังสญาณที่จะกำหนดรู้จึงชัดเจนกว่า แต่ถ้าหากว่าเราหวังที่จะเล่นด้วยตนเอง แปลว่าความโลภเกิดแล้ว ในเมื่อกิเลสนำหน้า ตัณหานำทาง ญาณต่าง ๆ ก็ย่อมมืดมัวไปตามกิเลสที่เกิดขึ้น โอกาสที่ผิดพลาดก็จะมีมาก

แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ เมื่อมีความสามารถเหล่านี้เกิดขึ้น เรามักจะจัดการได้ยาก ถ้าเป็นภาษิตจีนมักจะใช้คำว่า "คนอยู่ในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง" เนื่องเพราะว่าพอเราทำได้แล้วมีคนรู้เข้า ก็จะเกิดสองสถานะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือคนไม่เชื่อก็ว่าเราบ้า แต่ว่าคนที่เชื่อก็จะมารบกวนชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้น จนกระทั่งเราเองไม่มีเวลาปฏิบัติ แล้วสิ่งที่ทำได้ก็จะเสื่อมไป

หลังจากนั้นแล้ว ถ้าจัดการตัวเองไม่ถูก เสียดาย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เคยได้ ก็จะใช้วิธีหลอกลวงคนอื่นเขา ก็คือไม่บอกว่าวิชาเสื่อมแล้ว แต่ใช้วิธีมั่วเอาแทน ดังนั้น...เรื่องพวกนี้พอเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติธรรมแล้ว จะจัดการได้ยากมาก ถึงยากที่สุด แต่ถ้าจัดการได้ถูกต้อง ก็สร้างประโยชน์ให้ได้เหมือนกัน

เถรี 23-01-2024 00:38

เพียงแต่ว่าพวกกระผม/อาตมภาพนั้น หลังจากที่ฝึกปฏิบัติไปนาน ๆ แล้ว เท่าที่สอบถามจากพี่ ๆ น้อง ๆ ในยุคนั้นทั้งหมด ท้ายสุดก็เหลือคาถาบทเดียวกัน คือ "กูไม่เชื่อ" เพราะว่าเผลอเมื่อไรก็จะโดนหลอกทันที แล้วการหลอกนั้น ความจริงก็คือการทดสอบกำลังใจของเรา เพียงแต่ว่าเรามักจะรู้ไม่เท่าทันว่านั่นคือข้อสอบ เนื่องจากว่ามาในแง่มุมที่ไม่เคยซ้ำกันเลย กว่าจะรู้ตัวก็โดนหลอกหัวทิ่มหัวตำ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ต้องตะเกียกตะกายปฏิบัติใหม่กันเป็นสิบวัน ครึ่งเดือน หรือเป็นเดือน ๆ ตามแต่อาการหนักเบาของแต่ละคน กว่าที่จะทรงตัวได้เหมือนเดิม

เมื่อโดนจนกระทั่งเข็ด ไม่อยากที่จะหกล้มหกลุกอีกแล้ว ก็ใช้วิธีเมิน เลิกเชื่อ เลิกสนใจ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา แทน พยายามทบทวนศีลของตนเองให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ซักซ้อมสมาธิให้เข้าออกได้คล่องตัวทุกเวลาที่ต้องการ ท้ายสุดก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ตราบใดที่เรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องทุกข์อย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก แล้วเอากำลังใจเกาะภาพพระ หรือว่าเกาะอารมณ์พระนิพพานแทน ทำให้สามารถที่จะลอยตัวอยู่เหนือกิเลสต่าง ๆ ได้ชั่วคราว

ถ้าหากว่าเผลอเมื่อไรก็ตกลงไปในวังวนกิเลสใหม่ แต่ว่าถ้าทำถึงระดับนั้นได้แล้ว ก็จะเหมือนกับมีพื้นฐานรองรับ ก็คือจะตกไม่นาน เริ่มเคยชิน เริ่มหน้าด้าน กำลังใจตกก็ตั้งต้นใหม่เดี๋ยวนั้นเลย แล้วท้ายที่สุด เมื่อเราไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน การตกแบบนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ว่าเป็นเรื่องที่พวกเราต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างสูง

บรรดานิสิตที่ไปปฏิบัติธรรมในวันนี้เป็นการไปโดยหลักสูตรบังคับ ไม่ใช่กำลังใจที่แท้จริง แต่ถ้าหากว่าใครตั้งใจ อาจจะได้ประโยชน์ที่คิดไม่ถึง ส่วนท่านที่ไม่ตั้งใจ ก็ได้มากน้อยไปตามสิ่งที่ตนเองกระทำ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมของแต่ละคน ถ้าช่วงของกุศลเข้ามาส่ง ก็อาจจะได้ดีจนคิดไม่ถึง ถ้าช่วงของอกุศลเข้ามาขวาง ก็อาจจะกลายเป็นโทษ เพราะว่าไปนึกตำหนิติเตียนด่าว่าอยู่ในใจตลอดเวลา สภาพจิตใจแทนที่จะผ่องใส ว่างจากกิเลสชั่วคราวจากการปฏิบัติธรรม กลับกลายเป็นแบกกิเลสหนักขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องใช้คำว่า "ตัวใครตัวมัน..!"

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว