กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=130)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9240)

ตัวเล็ก 18-01-2023 20:17

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๖
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๖



เถรี 19-01-2023 00:18

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ พวกเราก็ได้ร่วมกันบำเพ็ญกุศลถวายพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (สว่าง จนฺทวํโส) อดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ บ้านโคกโก ตำบลโต๊ะเด็ง อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ซึ่งมรณภาพเพราะโดนบรรดาผู้ก่อการร้ายยิง ซึ่งเรื่องนี้ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำ ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่ามีใครที่ทำให้บ้าง เพราะว่าเรื่องของน้ำใจคนเป็นเรื่องที่บอกว่าจืดจางง่ายที่สุด ต่อให้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม พอนานไป ความรักความผูกพันของคนก็จะค่อย ๆ คลายลงไป

คราวนี้ในส่วนของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ หรือที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันด้วยความคุ้นเคยว่า "หลวงหว่าง" ได้คบหาสมาคมมาตั้งแต่ท่านเพิ่งจะได้ ๒ พรรษา
กระผม/อาตมภาพตอนนั้นก็ ๘ พรรษาเท่านั้น ไปอธิษฐานทำงานเพื่อพระพุทธศาสนากันที่วัดเขาเข็มทอง อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ก็คือขอถวายชีวิตไว้ในพระพุทธศาสนา

ตอนนั้นไปด้วยกัน ๖ รูป ปัจจุบันนี้ก็เหลือกระผม/อาตมภาพกับ "หลวงนิล" ก็คือท่านพระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม ประธานที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ตำบลพังขว้าง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาแค่ประมาณ ๓๐ ปี จาก ๖ รูปเหลือกันอยู่แค่ ๒ รูปเท่านั้น แล้ววันที่ ๑๘ มกราคมของทุกปี ยังเป็นวันกองทัพไทย บางคนเรียกว่าวันพระนเรศวรชนะศึก

ก่อนหน้านี้วันกองทัพไทย หรือว่าวันพระนเรศวรชนะศึกตรงกับวันที่ ๒๕ มกราคมของทุกปี แต่มาภายหลังไม่นานนี้เอง บรรดาโหราจารย์ต่างพากันคำนวณใหม่ เมื่อตรวจสอบด้วยความรอบคอบแล้ว วันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาที่บ้านดอนเจดีย์ ตำบลพังตรุ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรีนั้น ตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม

เถรี 19-01-2023 00:21

ในเรื่องของประวัติศาสตร์ นานไปก็ย่อมความคลาดเคลื่อนบ้าง เพราะว่าการนับวันเวลา การนับศักราชบ้านเรานั้นใช้กันหลายอย่าง คือบ้านเรามีทั้งพุทธศักราชที่นิยมใช้กันมากที่สุด แล้วก็คริสตศักราช ซึ่งบรรดาผู้ที่ค่อนข้างจะ "หัวฝรั่ง" หน่อยใช้กันเป็นสากล แล้วยังมีจุลศักราช ที่บรรดาโหราจารย์หมอดูต่าง ๆ ใช้กันเป็นหลัก ในเมื่อมีหลายศักราชมารวมกัน จึงทำให้มีข้อผิดเพี้ยนผิดพลาดกันได้ ถ้าสอบสวนทวนความแล้วยังมีความผิดพลาดอยู่อีก ก็จะมีการแก้ไขกันอีกในลำดับต่อ ๆ ไป

จะว่าไปแล้ว ในเรื่องของบ้านเราเมืองเรา ในสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้นยังไม่มีประเทศไทย มีแต่อาณาจักรอโยธยา อโยธยาคือปราศจากการรบ ในความหมายก็คือเป็นอาณาจักรที่สงบ สันติ ทางพม่าออกเสียงเร็ว ๆ ว่าโยเดีย

คราวนี้พม่าเรืองอำนาจมากในสมัยของพระเจ้าบุเรงนองมหาราช เราเรียกบุเรงนอง พม่าไม่รู้จัก เขารู้จักแต่บะยินนอง แต่เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งว่า จอมกษัตริย์นักรบ ๒ พระองค์ ก็คือพระเจ้าบุเรงนองมหาราชกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่มีโอกาสได้ประลองฝีมือกัน เพราะว่าอยู่คนละยุคคนละสมัย พระเจ้าบุเรงนองมหาราชเป็นรุ่นปู่ พระเจ้านันทบุเรงเป็นรุ่นพ่อ พระมหาอุปราชาเป็นรุ่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องเพราะว่าต่างคนต่างเกิดมาสร้างบารมี แม้ว่าจะเกิดใกล้เคียงกัน แต่ก็เป็นคนละยุคสมัย

โดยเฉพาะพม่าเป็นแผ่นดินพระพุทธศาสนา ดังนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่ปรารถนาในพุทธภูมิ หรือต้องการจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้ามีความมั่นคงในพุทธานุสติ ก็จะไม่หลุดออกจากขอบเขตของพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าในเขตของพระพุทธศาสนานั้น จะอยู่ในประเทศใดบ้าง ก็ต้องแล้วแต่บุญกรรมสัมพันธ์ของแต่ละท่าน กระผม/อาตมภาพเองก็เกิดที่พม่าหลายชาติ แม้กระทั่งที่เกิดมาก ๆ เลยอย่างทิเบต ก็เป็นพุทธศาสนามหายาน คนละแบบกับเถรวาทของเราอีก แล้วมหายานแบบทิเบตก็ยังแยกสายออกไปต่างหากจนเป็นวัชรยาน

เถรี 19-01-2023 00:38

ในเมื่อจอมกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ต่างเกิดมาบำเพ็ญบารมี กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าจะเลิกความปรารถนาในพระโพธิญาณหรือไม่ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น..พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จึงต้องสร้างบารมีมามาก ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำหมู่ชน

คราวนี้อย่างที่มีบุคคลเรียกร้องกัน เกี่ยวกับการให้ยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างความเป็นประชาธิปไตย โดยที่แกล้งโง่..! ไม่ได้แหกตาดูชาวบ้านว่าทุกประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ล้วนแต่มีกฎหมายคุ้มครองทั้งนั้น โดยเฉพาะประเทศไทยของเรา ถ้าไม่ได้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้าแลกไว้ เราก็ไม่มีแผ่นดินจะอยู่..!

ท่านทั้งหลายลองนึกดูว่าช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชหลุดเดี่ยวไป ต้องบอกว่าตกอยู่กลางวงล้อมของพระมหาอุปราชา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฝีมือข่มกันมาตั้งแต่สมัยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชยังเป็นราชกุมารตัวประกันอยู่ที่หงสาวดี คาดว่าคงจะไม่รอดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าฝีมือข่มกันอยู่อย่างชนิดคนละเกรด คนละระดับ จึงทำให้ทางพระมหาอุปราชนั้นเกรงกลัวในฝีมือของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงเกณฑ์ผู้คนแต่งตัวและช้างทรงเหมือน ๆ กัน เพื่อไม่ให้แยกออกว่าพระมหาอุปราชองค์จริงคือใคร ?

แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกอบด้วยปัญญา ส่งเสียงท้าทายขึ้นก่อนว่า "เจ้าพี่..จะมัวแต่ยืนช้างนิ่งอยู่ใย ? จงออกมาลองฝีมือกันเพื่อให้เป็นที่เลื่องลือ เนื่องเพราะว่าหลังจากนี้ไปแล้ว การกระทำยุทธหัตถีอาจจะมีน้อยหรือไม่มีอีกเลย" ตรงจุดนี้ต้องบอกว่า จี้ไปถึงใจของสมเด็จพระมหาอุปราชา ทำให้เกิดขัตติยมานะ ความเป็นสายเลือดกษัตริย์ เมื่อถูกท้าทายก็ต้องรับคำ จึงไสช้างออกมารบกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วก็พลาด โดนฟันขาดสะพายแล่งคาคอช้าง..!

นั่นคือบุคคลที่สร้างบุญสร้างบารมีมาในระดับพร้อมที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อมีผู้มาท้าทายย่อมเกิดมานะ โดยเฉพาะขัตติยมานะ มานะของบุคคลที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกษัตริย์ หรือว่าเป็นพระมหากษัตริย์ อีกฝ่ายท้าทายเฉพาะตัว จะให้คนอื่นออกไปรบแทนก็ไม่ได้ จะสั่งให้เขากลุ้มรุมทำร้ายก็ไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ต้องลองกันก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงใช้ทั้งฝีมือและปัญญา ในการช่วงชิงแผ่นดินมาให้ลูกหลานไทยได้อยู่อาศัยจนทุกวันนี้

เถรี 19-01-2023 00:47

คราวนี้ในส่วนที่บ้านเราเรียกผู้นำว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" ก็เพราะว่าผืนแผ่นดินนี้พระองค์ท่านเป็นเจ้าของ ขนาดจะซื้อที่ดินยังต้องมีหนังสือโดยพระบรมราชานุญาต ก็คือโฉนด ก็แปลว่าในเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น จริง ๆ แล้วท่านเป็นเจ้าของทรัพย์สินและแผ่นดินทุกตารางนิ้ว เพียงแต่พระองค์ท่านทรงเมตตาแบ่งปันให้พวกเราครอบครองเท่านั้น แล้วยังลดพระองค์ลงอยู่ใต้กฎหมาย เพียงแต่ว่ามีข้อคุ้มครองที่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่

แต่บรรดาท่านที่แกล้งโง่หรืออาจจะโง่จริง ๆ..! พยายามที่จะอ้างความเป็นประชาธิปไตย ความเสมอภาคกัน ฟังดูแล้วคุ้น ๆ เหมือนคอมมิวนิสต์อย่างไรก็ไม่รู้ ? สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ คอมมิวนิสต์ก็ชักชวนเรื่องความเสมอภาค โฆษณาชวนเชื่อเป็นการใหญ่

แต่ถ้าหากว่ากันตามหลักพระพุทธศาสนาของเราแล้ว ไม่มีความเสมอภาค ทุกอย่างเป็นไปตามบุญตามกรรมที่แต่ละคนสร้างมา สร้างบุญไว้น้อย สร้างกรรมไว้มาก ก็ลำบากยากจน สร้างกรรมไว้น้อย สร้างบุญไว้มาก ก็ร่ำรวยเงินทอง มีอำนาจวาสนา

ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพจึงเห็นการเรียกร้องของบรรดาท่านที่โดนเรียกแบบประชดว่า "พวกสามกีบ" เป็นเรื่อง "ตลกรับประทาน" ถ้าเรียกกันในสมัยหนึ่ง เขาเรียกว่า "ตลกแดก" ก็คือพยายามที่จะหาเหตุผลในการประท้วงเพราะว่าไป "รับงาน" มา

คำว่า "รับงาน" ในที่นี้ก็คือรับเงินนั่นแหละ จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายต้องสำนึกว่าสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นั้น สำคัญอย่างยิ่งกับประเทศชาติของเรา ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ความเป็นชาติไทยจะตั้งอยู่ไม่ได้

ทุกวันนี้ผู้คนก็รู้เช่นเห็นชาติบรรดาประเทศที่อ้างประชาธิปไตย แต่ความจริงแล้วก็คือ "กำปั้นกูใหญ่กว่า..!" แล้วก็พยายามจูงจมูกให้บรรดาท่านทั้งหลายที่กินหญ้ามากกว่ากินข้าวให้เดินตามไป ประเทศไหนก็ตามที่เชื่อถือและเดินตาม ก็ลำบากสาหัสอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ ถ้าหากว่ายังไม่เปลี่ยนความคิด คาดว่าอีกไม่นานคงจะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนกัน..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:55


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว