กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=124)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8929)

ตัวเล็ก 19-09-2022 18:22

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๕



เถรี 20-09-2022 00:05

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ต้องบอกว่าเป็นวันที่หมดสภาพ ขายหน้าจริง ๆ เนื่องจากว่าโดยปกติแล้ว กระผม/อาตมภาพจะตื่นประมาณตี ๒ ของทุกวัน วันนี้เมื่อตื่นขึ้นมา ทำงานได้เล็กน้อย รู้สึกว่าร่างกายเพลียมาก ทำท่าจะไม่ไหว จึงลงไปนอนภาวนา รู้สึกว่าครู่เดียวก็ได้ยินเสียงน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) มาตะโกนเรียกที่หน้ากุฏิ บอกว่านำอาหารเช้ามาถวาย เมื่อเปิดประตูออกไปก็เห็นว่าฟ้าสว่างโร่แล้ว..!

เพิ่งจะรู้สึกว่าเวลาที่ร่างกายกรอบมาก ๆ แล้วเราต้องการพักผ่อน บางทีต่อให้เราพยายามอย่างไร ร่างกายก็ไม่เอาด้วย จะนอนท่าเดียว แต่ว่าก็เป็นการดี ที่ได้พักผ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกหลายชั่วโมง

สำหรับวันนี้งานที่สำคัญก็คือได้ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบรมสถล หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าวัดดอน แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร

ความจริงคำว่า บรมสถล นั้น ปรมะ แปลว่า ยิ่งกว่า สถล หรือ สถละ ก็คือพื้นดิน ก็แปลว่า ยิ่งกว่าพื้นดิน คือ สูงขึ้นมาเป็นดอนนั่นเอง ก็แปลว่าถ้าด้านนี้มีวัดดอน ด้านอื่นก็ต้องมีวัดลุ่ม เพราะว่าสมัยก่อนไม่ได้ตั้งชื่อวัดวาอารามให้วิลิศมาหราแต่อย่างใด ชาวบ้านก็คงเรียกกันตามสบายปาก เห็นที่สูงหน่อยก็เรียกว่าวัดดอน เห็นที่ต่ำหน่อยก็กลายเป็นวัดลุ่ม เป็นต้น

เมื่อไปถึง เข้าไปยังห้องพักพระเถระ ก็เจอพระเถระ ครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูงหลายรูปด้วยกัน อย่างเช่น หลวงพ่อเจ้าคุณสุรศักดิ์ วัดประดู่ (พระอารามหลวง) พระภาวนาวิสุทธิโสภณ วิ. (สุรศักดิ์ อติสกฺโข ป.ธ.๕)

หลวงพ่อเจ้าคุณสมชาย วัดปริวาสราชสงคราม พระราชพัฒนากร (สมชาย ฉนฺทสโร)

หลวงพี่แป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ หรือว่า วัดแคแถว พระครูยติธรรมานุยุต (สมทรง ธมฺมทินฺโน) เป็นต้น

ด้วยความที่คุ้นเคย เนื่องจากว่าออกงานกันเมื่อไร ก็เจอหน้าเจอตากันอยู่แทบทุกงาน จึงไม่ต้องให้ใครแนะนำอะไรกันมาก สามารถที่จะตั้งวงเสวนากันได้ทันที

เถรี 20-09-2022 00:07

เมื่อเริ่มพิธีการพุทธาภิเษก โดยธรรมเนียมก็จะมีพระสวดมหานาค หรือที่เรียกว่าสวดพุทธาภิเษก กระผม/อาตมภาพเมื่อเข้าสมาธิได้ ก็ไม่ได้ดูฟ้าดูดินอะไรแล้ว เพราะว่าเคยชินกับการ "ทิ้งไปเลย"

แต่ว่าครั้งนี้กลายเป็นทิ้งไม่ขาด เห็นพระวิสุทธิเทพ เครื่องทรงเป็นเพชรระยิบระยับ สว่างไสวมาก ตอนแรกก็เป็นองค์เล็ก ๆ อยู่ที่จุดศูนย์เหนือสะดือ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ขยายองค์ใหญ่ขึ้นมา จนกลายเป็นซ้อนทับกับร่างกายนี้ เมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้นได้ระยะหนึ่ง พระองค์ท่านก็ขยายพระวรกายจนใหญ่โตครอบคลุมไปทั้งพิธี

เมื่อพระองค์ท่านบอกว่า "เต็มแล้ว" กระผม/อาตมภาพก็คลายสมาธิออกมา ทำน้ำมนต์ พรมรอบบริเวณพิธี พร้อมกับโปรยข้าวตอกดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชา หลังจากนั้นก็รอเจ้าภาพมาถวายไทยธรรม เมื่อรับแล้วก็ส่งให้กับน้องเล็ก ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส ก็คือ พระมหาอดิศักดิ์ อภิปญฺโญ ขอเดินทางกลับก่อน ท่านอุตส่าห์มาส่งจนถึงรถยนต์ พร้อมกับขอบคุณเป็นการใหญ่

ดูแล้วงานนี้ ถ้าไม่มีท่านเจ้าคุณสมชาย วัดปริวาสราชสงครามอยู่
กระผม/อาตมภาพคงต้องนั่งที่ประธานแน่นอน ทั้ง ๆ ที่พระเถระอื่นที่อาวุโสกว่ามีมาก โดยเฉพาะระดับหลวงปู่ อย่างหลวงพ่ออวยพร วัดดอนยาหอม (พระครูปฐมวราจารย์) ท่านก็มาร่วมงานด้วย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทางด้านเจ้าอาวาสจัดที่ให้
กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ทางด้านพระหัตถ์ซ้ายของพระประธาน ท่านเจ้าคุณสมชายนั่งตรงกลาง หลวงพ่อช้าง (พระครูปลัดรณชัย) วัดจุกเฌอ จังหวัดฉะเชิงเทรา นั่งทางด้านขวามือ ก็แล้วแต่ว่าใครจะมีความเคารพพระเถระรูปไหนเป็นพิเศษ ก็มักจะยกย่องพระเถระรูปนั้น แต่บางทีก็ลืมดูในเรื่องของอาวุโสพรรษาว่า บางท่านอยู่ในระดับครูบาอาจารย์ มีชื่อเสียงโด่งดังกว่ากระผม/อาตมภาพหลายเท่า เป็นต้น

จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพนั้น แต่แรกเริ่มไม่ได้คิดที่จะมาในทางนี้ เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้น แม้ว่าในระยะแรกจะเริ่มด้วยเรื่องของกสิณอภิญญาอะไรก็ตาม เมื่อได้รับคำแนะนำจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงว่า "วิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ต่อให้มีความคล่องตัวแค่ไหน ก็ห่างนรกแค่ชั่วนิ้วกั้นเท่านั้น บุคคลที่จะพ้นนรกได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยต้องเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบันขึ้นไป..!"

เถรี 20-09-2022 00:10

เมื่อได้ยินครูบาอาจารย์บอกดังนั้น กระผม/อาตมภาพก็ตั้งหน้าตั้งตาในการที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันให้ได้ ตะเกียกตะกายอยู่นานปี จนกระทั่งออกจากวัดท่าซุงไป เริ่มต้นสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ปรากฏว่าหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคมาสั่งว่าให้สร้างล็อกเก็ตรูปของท่านสัก ๕,๐๐๐ เหรียญ แล้วท่านจะมาเสกให้

หลังจากนั้นเป็นต้นมา คำสั่งสร้างวัตถุมงคลก็มีมาเป็นระยะ เนื่องจากว่าช่วงนั้นต้องสร้างอาคารถาวรวัตถุที่สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ต่อเนื่องกันมาถึง ๑๐ กว่าหลัง ถ้าหากว่าไม่มีวัตถุมงคลตอบแทนให้กับทางเจ้าภาพก็ดูกระไรอยู่ กระผม/อาตมภาพจึงต้องสร้าง แล้วปรากฏว่าท่านที่นำไปใช้นั้น มีประสบการณ์มากตั้งแต่ล็อกเก็ตรูปหลวงปู่ปาน - หลวงพ่อฤๅษีฯ รุ่นแรก เป็นต้นมา จึงทำให้มีเสียงเล่าลือกันกว้างออกไปทุกที

จนกระทั่งภายหลัง เมื่อสร้างวัตถุมงคลออกมา ไม่ว่าจะกี่รุ่น ถ้าเป็นสิ่งที่พระหรือว่าครูบาอาจารย์สั่ง ก็จะโดนจองหมดในทันทีทันควันเกือบทุกครั้ง จึงทำให้เกิดเสียงเล่าลือกันในหมู่เพื่อนฝูงพระสังฆาธิการ แล้วก็นิมนต์ไปในงานปลุกเสกวัตถุมงคลในวัดวาอารามของตนกันบ้าง

เมื่อจบปริญญาโทแล้ว เริ่มทำการสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนก็ดี หน่วยวิทยบริการคณะต่าง ๆ ก็ตาม ตลอดจนกระทั่งวิทยาลัยสงฆ์ต่าง ๆ บรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับการนำให้เจริญพระกรรมฐานในช่วงปฏิบัติธรรมประจำปี ก็ยอมรับอยู่แต่กระผม/อาตมภาพคนเดียว โดยที่บอกว่าพระอาจารย์เหมือนกับรู้ใจ ให้กรรมฐาน นำกรรมฐานพอเหมาะพอดีทุกครั้ง

แม้แต่บรรดาพระเถระ ซึ่งตอนนั้นกระผม/อาตมภาพตอนนั้นเพิ่งจะ ๒๐ กว่าพรรษา ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ๓๐ กว่า ๔๐ พรรษา เมื่อผ่านการปฏิบัติธรรมไปได้ ๔ วัน ๕ วัน ก็ชักแถวกันมากราบ แม้กระผม/อาตมภาพจะห้ามว่า ท่านทั้งหลายพรรษามากกว่าไม่ต้องกราบ ท่านก็ไม่ยอม บอกว่า "ขอกราบในฐานะครูบาอาจารย์" เพราะว่าโดยปกติแล้ว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นบอกเองว่า "ปกติแล้วพวกผมเป็นคนหัวแข็ง ยอมลงให้กับคนอื่นยากมาก แต่ว่าพระอาจารย์สามารถทำให้พวกผมกราบได้อย่างสนิทใจ"

เถรี 20-09-2022 00:14

กระผม/อาตมภาพจึงได้รับนิมนต์จากท่านทั้งหลายเหล่านี้ไปปลุกเสกวัตถุมงคล เวลาที่วัดของท่านจะมีกฐิน มีผ้าป่า เพื่อที่จะเอาไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมบุญ เมื่อมีมากเข้า ประสบการณ์ก็ย่อมมีมากขึ้นไปด้วยตามปกติ จึงทำให้ชื่อเสียงทางด้านนี้เริ่มโด่งดังขึ้นมา

ทางด้านวิชาการ
กระผม/อาตมภาพก็จบปริญญาเอก ไม่ว่าจะไปสอนที่ไหน ลูกศิษย์ก็ตั้งหน้าตั้งตาฟัง บอกว่าพระอาจารย์พูดแล้วฟังง่าย เข้าใจง่าย เมื่อไปนำในการปฏิบัติธรรม ศิษย์ทั้งหลายก็บอกว่านำได้พอเหมาะพอดี

ในเมื่อมาทางด้านนี้เข้า กลายเป็นครึ่งบกครึ่งน้ำ ก็คือสายวิชาการก็ไปได้ สายกรรมฐานก็ไปได้ และท้ายสุดไม่ทราบเหมือนกันว่าตนเองหลุดเข้ามาในสายพระเกจิอาจารย์ตอนไหน ? รู้อยู่แต่ว่ายิ่งนานไป การนิมนต์เพื่อให้ไปอธิษฐานจิต ปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆ ก็มีมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะประสบการณ์ต่าง ๆ ที่บรรดาวัดนั้น ๆ ได้รับการบอกเล่าจากลูกศิษย์ ที่นำเอาวัตถุมงคลไปใช้ ก็ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น มั่นอกมั่นใจว่ากระผมมีความสามารถอย่างแน่นอน

ความจริงแล้วแทบทุกงานก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปในลักษณะ "มวยหมู่" นาน ๆ ถึงจะมีเสกเดี่ยวสักครั้งหนึ่ง แต่บังเอิญว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพนำมาบอกกล่าว พอดีไปตรงกับประสบการณ์ที่บรรดาลูกศิษย์วัดนั้น ๆ ไปพบเข้าเจอเข้า จึงกลายเป็นเหมาเอาว่า สิ่งที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นพบเจอมา เป็นสิ่งที่กระผมเมตตาประสิทธิ์ประสาทให้ ซึ่งความจริงแล้ว ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่นั่งมอง เมื่อเวลาพระหรือว่าพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ ท่านแนะนำอย่างไรก็แค่ทำไปแบบนั้น

ถ้าบอกว่าเป็น "การปลุกพระ" บางทีก็กลายเป็นว่า "พระต้องปลุก" เนื่องจากว่าเข้าสมาธิเพลินจนท่านต้องเตือนว่า "พอแล้ว" "ถอนสมาธิออกมาได้แล้ว" เป็นต้น จึงกลายเป็นว่าตนเองในปัจจุบันนี้กลายเป็นครึ่งบกครึ่งน้ำ ไม่ว่าจะไปทางไหนก็รู้สึกว่าจะไปได้ เหลืออยู่อย่างเดียวว่าเมื่อไรจะไปทางอากาศเสียทีเท่านั้น..!

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:54


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว