กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1900)

เถรี 17-06-2010 10:39

ถาม : ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติพระวินัยมาว่า ห้ามกลืนเลือด เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : แต่แรกพระองค์ท่านห้ามภิกษุฉันอาหารที่เป็นเนื้อสด แล้วท้ายสุดมีคนสงสัย ไปถามพระองค์ท่านว่า ถ้าเป็นเลือดในปากของตัวเอง พระองค์ท่านก็ตรัสว่าไม่ควรกลืน

เถรี 17-06-2010 11:12

ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูมองเข้าไปในร่างกาย ก็จะเห็นเป็นลำไส้เล็ก ลำไส้น้อย แต่ตอนนี้เห็นในลักษณะที่ว่าข้างในไม่มีอะไร เห็นเป็นแค่รูป และข้างในโล่ง ๆ โปร่ง ๆ ว่างเปล่า ตรงนี้คือ แค่จิตกับรูปใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เหลือแค่รูปกับนาม

ถาม : ตอนนี้เป็นในลักษณะผู้ดูแล้ว อย่างมองร่างกายก็เห็นในลักษณะมีความเสื่อมไป มีความสกปรกของมัน แต่ทีนี้เมื่อก่อนจะมีความรู้สึกที่จะไปต้าน ไปฝืนไม่ให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ยอมรับว่าร่างกายเราเป็นอย่างนี้ เรามองในลักษณะเป็นผู้ดู ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ใช่

ถาม : แต่ก็เห็นว่าเวลาคลายกำลังใจออกมา ตัวที่เล่นงานเราก่อนเป็นอันดับแรก คือ ตัวมานะ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าหนูไม่คลายกำลังใจออกมาเลย จะตัดหรือทำให้เบาบางได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่บี้ให้ตายไปเลย หลุดเมื่อไรมันก็งอกงาม ไม่เป็นไรหรอก ถ้าโผล่หัวขึ้นมาเราก็ตีให้ยุบไปเลย

เถรี 17-06-2010 16:32

พระอาจารย์เล่าเรื่องการใช้ปัญญาแก้ปัญหา ให้ฟังว่า

"คุณตัน ภาสกรนที ที่ทำชาเขียวโออิชิ นอกจากเป็นคนเก่งแล้วยังรู้จักประเมินตัวเองด้วย

ช่วงที่โออิชิกำลังรุ่ง ๆ อยู่ คุณตันขายหุ้น ขายแล้วมีพ่วงโปรโมชั่นด้วยว่า ใครซื้อไปเขาจะไปบริหารให้ เท่ากับตัวเองเก็บเงินสามพันล้านเอาไว้แล้วไปเป็นลูกจ้าง ไปบริหารให้เขาต่อ บริษัทจะเจ๊งหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง เพราะรับเงินเดือนแล้ว

สายตาเขายาวไกลมาก เพราะเห็นจุดอิ่มตัวแล้ว จะเห็นว่าตอนนี้ปั่นอย่างไรก็ฮือไม่ขึ้น ก็ต้องไปประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างลาวหรือเขมร

ตอนไปที่เขมร เขาขายชาเขียวแถมตุ๊กตาหมีตัวหนึ่ง วันแรกผ่านไปขายได้แค่ไม่กี่ขวด แต่คุณตันไปยืนดูอยู่ เขาเห็นว่าทุกคนที่ผ่านมาจะจับตุ๊กตาหมีดู แสดงว่าเขาอยากได้ตุ๊กตาหมี เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่ เป็นขายตุ๊กตาหมีแถมชาเขียว คนเขมรก็ซื้อกันกระจายเลย พอคนชิมชาเข้าไป เห็นว่าเข้าท่าเขาก็ไปซื้อกินกันเอง

คนเราต้องปรับตัวให้ทัน ถ้าเป็นพวกเราทั้งวันลงไป ๓,๐๐๐- ๔,๐๐๐ ขวด ขายได้แค่ ๕ - ๖ ขวด ก็หน้ามืดแล้ว แต่นี่เขาสังเกตดูว่าลูกค้าที่เข้ามา โดยเฉพาะผู้หญิงกับเด็กจะจับตุ๊กตาหมีมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูกันทุกคน เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่เป็นขายตุ๊กตาหมีแถมชาเขียว


นี่คือปัญญาในการแก้ไขปัญหา ต้องพลิกแพลงเอาไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ เราดูตัวอย่างของเขาแล้ว ต้องเอามาดูตัวเราด้วยว่า ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะเอามาแก้ไขอย่างไร

ถ้าสามารถทำตรงจุดนี้ได้ เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ เพราะว่าการปฏิบัติสำคัญที่สุดก็คือ ทำแล้วสามารถเอาไปใช้จริงได้ ส่วนใหญ่พวกเรารับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ทัน ยิ่งเหตุการณ์ฉุกเฉินบางทีก็อึ้งไปเลย อย่างเช่นพอเป็นลมขึ้นมาก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราจะตาย ให้นึกถึงพระก็ไม่เอาแล้ว"

เถรี 17-06-2010 16:52

"อีกรายหนึ่งคือ เจ้าของสาหร่ายทอด ตราเถ้าแก่น้อย ตอนแรกเขาทำขายครึ่งหนึ่งแจกครึ่งหนึ่ง สมมติว่าทำมาห้าหมื่นซองเขาก็ขายแค่สองหมื่นห้า อีกสองหมื่นห้าที่เหลือเขาแจก โดยเฉพาะแจกผู้หญิง เน้นเป้าหมายเลยนะ

เขาบอกว่าผู้หญิงชอบกินของจุกจิกไปเรื่อย และถ้ารสชาติถูกปาก ไม่ต้องห่วงเลย ผู้หญิงจะบอกปากต่อปากกันให้เอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ค่างบโฆษณาของเขาก็คือ ครึ่งหนึ่งที่แจก และเขาก็ประสบความสำเร็จ ตอนนี้ยอดรายรับเดือนหนึ่งเป็นร้อยล้าน

แสดงว่าเขามองคนออก ใช้คนเป็น เรากลายเป็นเครื่องมือของเขาโดยไม่รู้ตัว นักเศรษฐศาสตร์เขาถึงได้สรุปว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เขาแจกเราฟรี แต่ไม่ใช่ของฟรีเรา เพราะว่าเท่ากับจ้างเราโฆษณานั่นเอง

สมัยก่อนที่ไปอยู่บึงลับแล ไม่ได้แบกของไปเต็มอัตราเหมือนพวกเราหรอก เอาบะหมี่สำเร็จรูปและสาหร่ายอบแห้งไป ลองต้มบะหมี่ใส่สาหร่ายอบแห้งสิ รสชาติเด็ดอย่าบอกใครเลย..!"

เถรี 23-06-2010 00:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความสะดวกสบายยิ่งมีแก่พวกเรามากเท่าไร ยิ่งจำเป็นต้องฝึกลูกฝึกหลานให้หัดสมาธิให้มากเท่านั้น เพราะเมื่อเขาได้รับการตอบสนองทุกอย่างที่รวดเร็ว ทำให้กลายเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว รออะไรไม่ได้ ถ้าขาดในเรื่องของสมาธิมาช่วย จะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง น่าสงสารมาก

มีลูกมีหลานพยายามจับให้หัดสมาธิให้ได้ อย่างน้อย ๆ จะได้เป็นประโยชน์แก่เขาในภายหน้า ไม่ต้องถึงขนาดตายแล้วไปสวรรค์ ไปพรหม หรือไปนิพพานหรอก เอาให้แค่รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจตนเองได้ก็พอ"

เถรี 23-06-2010 01:15

ถาม : เมื่อครู่ไปบ้านเพื่อนมา เขาเชิญลูกศิษย์หลวงพ่อสมัยก่อนมาช่วยตั้งพระพุทธรูปให้ เขายืนยันว่าตั้งหันหน้าไปทิศตะวันตกได้ ผมก็เถียงว่าหลวงพ่อสั่งไว้ ห้ามเด็ดขาด เขาบอกว่า พระอยู่ที่เราเคารพ ถ้าตั้งตรงไหนแล้วเราไม่เคารพ ก็แค่นั้นแหละ เหตุผลเขาก็ดี แต่ผมว่าเขาคงเกิดอีกนาน เลยมาถามท่านดีกว่า
ตอบ : จะถามทำไม อาตมาบอกไปนานแล้ว

ถาม : ผมเป็นห่วงเพื่อนครับ ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีว่าฉิบหายแน่นอน
ตอบ : ไม่แน่เขาอาจจะรุ่ง

ถาม : ทำไมละครับ?
ตอบ : ก็เขารู้สึกว่าดี ถ้ากำลังใจเขาเข้มแข็ง สำเร็จด้วยใจขึ้นมา อาจจะดีกว่าที่เราคิดเสียอีก รอดูไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าเขาเจ๊งแล้วค่อยไปสะกิดบอกเขา

เถรี 23-06-2010 01:34

ถาม : เวลานั่งสมาธิบางครั้งเห็นหลวงพ่อแล้ว รู้สึกรักหลวงพ่อสุดจิตสุดใจเลย อารมณ์อย่างนี้ดีหรือไม่ดีครับ ?
ตอบ : ดี..แต่รักษาให้อยู่ด้วย ถ้าหากว่ารักจริง รักษาให้อยู่ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

ส่วนใหญ่จะรักแค่ตรงนั้น พอรักษาไม่อยู่ก็สลายไป บางทียังมานั่งเสียดายว่า หายไปไหนหว่า ?

เถรี 23-06-2010 01:37

ถาม : สวดคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ถ้าเราสวดตอนเช้า ๑๐๘ จบไปเลย กับอารมณ์สบายสวดทั้งวันให้ได้ ๑๐๘ จบ อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ทั้งวันดีกว่า เพราะใจเป็นกุศลมากกว่า

ถาม : ทำไมเวลาเราสวดมนต์ บางครั้งรู้สึกอึดอัดเครียด เหมือนไม่อยากสวดเลยครับ ?
ตอบ : กิเลสมาร เขากลัวเราจะได้ดีก็ต้องขวาง ถือเป็นเรื่องปกติ

เถรี 23-06-2010 01:40

ถาม : ถ้าเรานั่งกรรมฐานที่บ้าน แล้วส่งกำลังใจแบบมโนมยิทธิว่า เรามานั่งข้างหน้าท่าน จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือน เพราะความชัดเจนยังไม่ได้ ถ้าหากความชัดเจนได้ด้วยถึงจะเหมือน

เถรี 23-06-2010 01:44

ถาม : การที่เราคิดว่า เอาพระองค์นั้นแขวน องค์นี้แขวน องค์นั้นก็ดี องค์นี้ก็ดี อย่างนี้เป็นพุทธานุสติหรือฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ฟุ้งซ่าน แต่ยังอยู่ในพุทธานุสติ

ถาม : ขาดความมั่นใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ของมีก็ใช้ คนเรากินอาหารรสเดียวกันทุกวันยังรู้สึกเบื่อ ก็ต้องเปลี่ยนบ้าง

เถรี 24-06-2010 10:33

พระอาจารย์กล่าวถึงพระรูปหนึ่งว่า "เมื่อเช้ามีโยมจากลพบุรีมาขอพระไปอยู่ที่นั่น โยมเขาบอกว่า ยกที่ตรงนั้นให้พระอาจารย์สมปอง แล้วก็เอาพระของเราไปอยู่

ความจริงพระท่านเพิ่งบวชไม่นาน คราวนี้สิ่งที่ท่านทำมักจะขัดกับคนอื่นเขา ท่านก็เลยอยู่ที่วัดท่าขนุนไม่ได้..ขอออกจากวัดไป คาดว่าไปหาพระอาจารย์สมปอง ท่านก็เลยยกที่ให้ส่วนหนึ่ง

โยมเขาก็ดีใจว่ามีพระไปดูแล ก็เลยมาที่นี่ จะมาขอคำแนะนำ อาตมาบอกว่า "ไม่มีคำแนะนำ พระท่านเพิ่งบวชไม่นาน ศีลมีอะไรบ้างก็ยังรู้ไม่ครบ ถ้าหากว่าโยมเอาไปอยู่ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นโยมก็รับผิดชอบเองแล้วกัน เพราะว่าเขาพ้นจากวัดไปก็ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของอาตมาแล้ว..!"

เรื่องนี้จริง ๆ แล้วความผิดอยู่ที่พระ เรียนทางโลกมาก็สูง คือ จบปริญญาโท แต่ว่าทางโลกกับทางพระนั้นคนละเรื่องกัน เราจะมีความมั่นใจอะไรสักเท่าใดก็ตาม จะเอามาใช้กับเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ เพราะเป็นคนละส่วนกัน ประสบการณ์ทางโลกไม่ใช่ประสบการณ์ทางธรรม

พระพุทธเจ้าก็ระบุไว้ชัดว่า ถ้ายังไม่ได้ ๕ พรรษาขึ้นไป ก็ยังไม่ได้นิสัยมุตตกะ ยังต้องอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของครูบาอาจารย์ ท่านรู้ทั้งรู้ แต่ว่าเป็นคนชอบไปเรื่อย ๆ อยู่ไม่เป็นที่ ที่ออกจากวัดไปเพราะวัดมีระเบียบไว้ว่าลาได้กี่วัน แต่ไม่เพียงพอกับเวลาที่ท่านจะไป

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ส่วนที่เสียหายมากที่สุดคือพระศาสนา พระที่ไปอยู่ยังไม่มีคุณภาพพอ ไม่ว่าปริยัติหรือปฏิบัติยังไม่สามารถรักษาตัวเองได้ แล้วยังต้องรับภาระไปดูแลสถานที่ ซึ่งถ้าได้ยินไม่ผิดก็คือ พื้นที่ ๓๐ ไร่ ยิ่งถ้าต้องมีการก่อสร้างมีอะไรเข้าไปด้วย โดยที่กำลังใจของตนเองยังไม่มั่นคง ก็จะเกิดความเสียหายขึ้นแก่ตัวเองก่อน"

เถรี 24-06-2010 10:41

หลังจากนั้นแล้วความเสียหายก็จะกว้างออกไป อย่างเช่นว่า อาจารย์เล็กฝึกลูกศิษย์มาได้แย่ขนาดนี้เชียวหรือ ? ไม่มีดีกว่านี้แล้วใช่ไหม ? ก็บรรลัยเราอีก..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า ศาสนาพุทธจะโดนทำลายจากคนในเท่านั้น ไม่ใช่จากคนนอก ก็คือจาก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

อย่าว่าแต่การเรียนรู้และศึกษาธรรมให้แตกฉานเลย แม้กระทั่งศีลและอภิสมาจารมีอะไรบ้าง ก็ยังรู้ไม่ครบ ก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าเกิดญาติโยมเขามีงานอะไรขึ้นมา จะไปปฏิบัติให้ถูกต้องตามศาสนพิธีได้หรือเปล่า ?

เราพูดมากก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าพูดมากไปก็เหมือนไปลดความน่าเชื่อถือของเขา ขณะเดียวกันคนที่ไม่เข้าใจก็จะมองว่าเราอิจฉาลูกศิษย์ ก็เลยไม่อยากให้ไปได้ดี ทั้ง ๆ ที่เขาผิดพระวินัยมาตั้งแต่ต้น

การไปอยู่ลักษณะนั้นเท่ากับฝืนคำของพระพุทธเจ้า เท่ากับโดนอาบัติศีลขาดอยู่ทุกวัน จึงเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอโยมเขาถามว่ามีคำแนะนำอะไรบ้าง ถึงได้บอกไปสั้น ๆ ว่า "ไม่มี"

เถรี 24-06-2010 12:07

ถาม : ทำบุญอะไรจะได้บุญสูงสุดคะ ?
ตอบ : บุญสูงสุดจริง ๆ ก็คือ ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้า ไม่ต้องเสียเวลาไปทำภายนอก

ถาม : แต่ถ้าเป็นทานบารมีละคะ ?
ตอบ : ทานบารมีเป็นสิ่งที่ต่ำสุด สูงขึ้นไปเป็นศีล แล้วเป็นภาวนา ถ้าทำทานบารมีแล้วบอกจะเอาสูงสุด ชาตินี้ก็คงจะไม่ได้

เถรี 24-06-2010 17:57

ถาม : ถ้าเราฝึกสมาธิ โดยกำหนดจิตไว้ที่ท้องน้อยหรือเหนือสะดือ แล้วกำหนดคำภาวนาว่า รู้ รู้ รู้ อย่างนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่ แต่ว่าเป็นคำภาวนาเท่านั้น สำคัญที่ตรงสติ ว่าเรารู้ตามจริงหรือเปล่า ? ถ้าหากสติรู้ตามจริงก็จะเป็นวิปัสสนาก็คือ กำหนดรู้เฉพาะหน้า แต่ถ้าไม่ใช่สติรู้ตาม เราสักแต่ว่า รู้ รู้ รู้ ก็เป็นสมถะเต็ม ๆ เพราะเท่ากับสร้างสมาธิให้เกิด

ถาม : ถ้าเอาจิตตามไปในที่สุดผลจะเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้ากำหนดรู้ไปเรื่อยก็จะอยู่กับปัจจุบันไปตลอด ในเมื่ออยู่กับปัจจุบันตลอด จิตไม่ส่งไปในอดีตไม่ส่งไปในอนาคต ก็ตัดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้เยอะเลย

ถาม : ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือตรงจุดนี้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เกือบจะใช่ เป็นแค่สติในปัจจุบันเท่านั้น จะเป็นผู้รู้จะต้องมี สติ สมาธิ ปัญญา มากกว่านี้

ถาม : ผมนึกว่ากำหนดคำว่ารู้ ๆ แล้วภาวนาไปจนจิตลุกโพลงขึ้นมา หมายความว่าเราเกิดตัวรู้ขึ้นมาแล้ว แต่จริง ๆ ยังไม่ใช่ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่ เพราะว่าตัวรู้ที่แท้จริง ต้องรู้ในอริยสัจ ส่วนใหญ่ตัวรู้ของเราที่รู้มา เป็นแค่สติที่เกิดขึ้นในสมาธิที่เราสั่งสม อีกอย่างที่เราว่ามา เท่ากับเป็นการตั้งใจปฏิบัติในสมถะ โดยใช้คำว่ารู้ เป็นคำภาวนาเสียด้วยซ้ำไป

ถ้าจะเอารู้จริง ๆ จิตอยู่ในสภาพตื่นอยู่ตลอดเวลา นั่นจะต้องรู้ในอริยสัจและจะต้องยอมรับแล้ว ในเมื่อยอมรับแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ปล่อยวางลงได้ ไม่ไปปรุงแต่งอะไรอีก จิตอยู่กับปัจจุบันตลอด ก็จะเป็นผู้ตื่น ไม่ถูกตัณหาและอวิชชาทับถมเอาไว้

ถาม : ก็เป็นแค่สมถะอย่างหนึ่ง ?
ตอบ : เป็นแค่สมถะ แล้วหลังจากนั้นจะเป็นบาทให้ก้าวไปสู่วิปัสสนาได้

เถรี 24-06-2010 17:58

ถาม : ระหว่างกำหนดเป็นดวงแก้ว กับกำหนดเป็นพระพุทธรูป
ตอบ : จัดเป็นกสิณ เพียงแต่กำหนดภาพพระพุทธรูปเราได้พุทธานุสติเพิ่มขึ้น

เถรี 24-06-2010 18:23

ถาม : เวลามีเรื่องเกิดขึ้นกับเรา เราคิดว่าเป็นกรรมของเรา แต่หลัง ๆ เริ่มคิดว่าเป็นธรรมดาของโลกที่เป็นแบบนี้ การคิดแบบไหนจะดีกว่ากัน?
ตอบ : เอาทั้งสองอย่างมารวมกัน ธรรมดาของโลกเป็นแบบนี้ ในเมื่อเราทำไว้ เราก็ต้องยอมรับ

เถรี 24-06-2010 20:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าหากว่าบ้านวิริยบารมีเสร็จ ขอความกรุณาอย่าเอารถส่วนตัวไป เพราะหน้าบ้านเป็นซอยแคบ ๆ แค่รถเก๋งคันหนึ่งขับได้และกลับรถไม่ได้ ส่วนด้านนอกริมถนนรถก็จอดได้ไม่กี่คัน

ถ้าให้สะดวกก็ไปแท็กซี่หรือรอรถไฟฟ้าช่วงสองเสร็จ จะลงหน้าบ้านพอดี ถ้าใครคิดว่าอาตมาขู่ก็ลองเอารถไปดู ปกติอาตมาก็ชอบขู่เขาแบบนี้ บอกพวกที่ไปบึงลับแลว่า ไม่ไหวหรอกเดี๋ยวจะเป็นลมเสียเปล่า เขาก็บอกว่า โอ๊ย..ไม่เป็นไรหรอก..ไปได้ จะแค่ไหนเชียว อาจารย์แก่แล้วยังไปได้เลย.. สรุปว่าเป็นลมตั้งแต่เนินแรก แต่อาจารย์ไปเนินสุดท้ายยังสบายดีอยู่เลย"

เถรี 24-06-2010 22:30

ถาม : เดี๋ยวนี้ผมแยกไม่ออกว่า ภิกษุรูปไหนควรทำบุญด้วย รูปไหนไม่ควรทำบุญด้วย พิจารณาดูอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภิกษุทุกรูปควรทำบุญด้วย..!

ถาม : เห็นจริยวัตรท่านแล้ว...
ตอบ : ยกเว้นว่าเราโง่พอ ถ้าโง่พอก็จะเลือกที่ทำบุญ..! พระท่านจะดีจะชั่วก็เรื่องของพระ เราตั้งใจถวายเป็นสังฆทานก็จบแล้ว

ถาม : เวลาเราจะทำอะไรเพื่อพระศาสนา ทำไมมีปัญหาสารพัดเยอะแยะเลยครับ ?
ตอบ : การทำความดีก็ย่อมมีสิ่งขวางเป็นปกติ โดยเฉพาะทำความดีโดยไม่รู้กาลเทศะ..! ต้องดูด้วยว่าเหมาะควรไหม ถึงเวลาแล้วหรือยัง ไม่ใช่คิดจะทำก็ทำ

เถรี 25-06-2010 00:00

ถาม : จะมีญาณเครื่องรู้เกิดขึ้นว่า เหลืออีกเท่าไร จะต้องทำอีกแค่ไหน ใช้กรรมฐานกองไหน และเราเห็นว่าจะตัดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดฉับในทันที ตรงนี้คือต้องย้ำอีก ?
ตอบ : กำลังยังไม่พอ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะตรงจุดกำลังใจของเราเอง ถ้าหากว่ายังไม่เด็ดขาด แปลว่า สมาธิอาจจะอ่อนไปด้วย เหลือเชื่อ..เราจะคิดว่าปัญญาถึง มองเห็นทางแล้วจะไปได้..ไม่ใช่ มองเห็นทางแต่ถ้ากำลังไม่ถึง ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน

ถาม : บางทีหนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน กลัวว่าจะเป็นการประมาท เพราะเวลาคลายกำลังสมาธิออกมา ใช่..กำลังใจเท่ากับตอนสมาธิสูง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะพลาดตกลงมาเหมือนเดิมหรือเปล่า
ตอบ : ตกแค่นี้ (ทำมือ) ไม่ตกไปมากกว่านี้แน่..

ถาม : กำลังใจไม่เอาเพศตรงข้าม ไม่เกิดความรู้สึกอยากได้เขามาเป็นแฟน แต่ก็ยังเมตตาเขา สนใจเขา
ตอบ : ถ้าหมดรัก หมดโกรธไปเลยจะปลอดภัยกว่า ถ้ายังไม่ถึงตรงนั้น ยังมีสิทธิ์ที่จะหงายท้องได้ตลอดเวลา

ถาม : หนูสังเกตอย่างหนึ่งว่า บางคนเขาไปไล่ตัวรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่หนูไม่ถนัดในตัวนั้น ตรงนี้เป็นลักษณะปัจจัตตังของแต่ละคนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เป็นเฉพาะของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องศึกษาเยอะ ๆ เอาอย่างเดียวให้แน่จริง ก็ไปได้แล้ว รู้มากก็ยากนาน แต่ส่วนใหญ่อยากรู้ให้มากที่สุด ไป ๆ มา ๆ ก็ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

เถรี 25-06-2010 00:02

ถาม : ระหว่างกำลังใจ กับสติ สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกันคะ ?
ตอบ : อย่างเดียวกัน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นกำลังใจที่เรียกว่าบารมี โดยเฉพาะตัวสมาธิจะทำให้กำลังใจทรงตัวดี

ถาม : ตอนแรกหนูก็แยกไม่ได้ค่ะ หนูอยากบอกว่า ตอนนี้มีความสุขมากกว่าเดิม เหมือนยกภูเขาออกจากอก โล่ง เบา ถึงแม้ยกออกไม่หมด แต่ก็มีความสุข
ตอบ : ให้สังเกตไว้ว่าอารมณ์ก็ดี งานการก็ดี เวลาที่เราวางแล้วจะเบา ในเมื่อรู้แล้วที่เหลือก็อย่าไปแบกไว้

เถรี 25-06-2010 12:07

ถาม : หนูฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังมาได้ระยะหนึ่ง ตอนที่หนูกำลังจะออก แต่ก็ไม่ออก มีอุปสรรคอะไรหรือคะ ?
ตอบ : กลัวตายจ้ะ..ถ้าเลิกกลัวตายจะออกไปได้เลย สังเกตไหมตอนที่จะไป เรากลัวอยู่ลึก ๆ ต้องไปดูตัวเองใหม่ ความกลัวตรงนี้..กลัวว่าออกไปแล้วจะเจอสิ่งที่น่ากลัวบ้าง ออกไปแล้วจะกลับไม่ได้บ้าง เรากลัวลึก ๆ อยู่ในใจ แต่เราไม่รู้ตัว

ต้องตัดใจว่าตายเป็นตาย ตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถ้าตายไปก็ไปอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้า
ถ้าตัดใจได้ก็ไปเลย


ถาม : ใจเราอาจจะไม่กลัว แต่ลึก ๆ นี่กลัว
ตอบ : จริง ๆ เรากลัวอยู่ พวกดิ้นตึงตังนั่นกำลังเขาพอที่จะไป แต่สภาพจิตที่กลัวก็ดึงรั้งเอาไว้ กลายเป็นฉุด กลายเป็นดึง ก็เลยดิ้นตึงตังโครมคราม จะออกก็ไม่ออก ถ้าคนไหนตัดสินใจได้ก็ออกไปแบบเงียบไปเลย

ถาม : ถ้าออกไปจะเป็นความรู้สึกอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าออกไปจะชัดเหมือนอย่างตาเห็น ขนาดรถวิ่งมา เรารู้ ๆ ว่าชนเราไม่ได้ แต่เราก็ยังอุตส่าห์กระโดดหลบ รู้สึกชัดขนาดนั้นเหมือนตัวเองไปเลย ลมพัดถูกตัวก็รู้ แดดส่องถูกตัวก็รู้ ไปสักทีเดี๋ยวจะติดใจ

ถาม : หนูอยากไปสักทีค่ะ
ตอบ : เพราะอยาก..ก็เลยไปไม่ได้ เรามีหน้าที่ภาวนาทำไปเรื่อย ๆ จะไปหรือไม่ไปก็เรื่องของมัน ถ้าไปเราขอไปพระนิพพาน ตั้งใจเอาไว้ ถ้าเราภาวนาแล้วอยากไป ๆ ตัวอยากจะบังอยู่ ไปไม่ได้หรอก

เถรี 25-06-2010 12:10

ถาม : แล้วชาตินี้หนูจะได้เป็นพระอนาคามีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ได้ทุกคนจ้ะ แค่ทำให้จริงเท่านั้น เขาหวังจะได้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน ทำไมเราหวังแค่อนาคามี ?

ถาม : หนูมีศีลบกพร่องตรงไหนคะ ?
ตอบ : ต้องถามตัวเองจ้ะ ไม่ใช่ถามคนอื่น ถ้าศีลห้าข้อ ตัวเองไม่รู้พร่องตรงไหนก็เลิกปฏิบัติเถอะ..!

รักษาศีลให้ได้ด้วยตนเอง ไม่ยุให้คนอื่นละเมิดศีล เห็นคนอื่นละเมิดศีลเราก็ไม่ยินดีด้วย นี่เป็นแค่เบื้องต้น

หลังจากนั้น ถ้าสติ สมาธิทรงตัวมาก เราจะขยับไปทางไหนก็รู้ว่าศีลจะขาด ท้ายสุดการปฏิบัติในศีล เรารู้ว่าคุณความดีของศีลมีอย่างไรเราก็ปฏิบัติไป แต่ใจก็ไม่ได้เกาะในสิ่งที่ดีที่ชั่ว ไม่เกาะตรงผลที่จะได้รับแล้ว กลายเป็นว่าแม้แต่ความดีก็วางลง ซึ่งยังมีอีกหลายขั้นตอน เอาขั้นแรก ๆ ไปเท่านี้ก่อน

เถรี 25-06-2010 12:13

ถาม : อีกนานไหมคะ กว่าหนูจะได้เป็นอนาคามี ?
ตอบ : อีกไม่กี่ชาติหรอก..! ได้ยินแล้วมีกำลังใจไหม ? ถ้าทำถูกตัดสินใจได้..ก็เดี๋ยวเดียว ถ้าตัดสินใจไม่ได้ วางกำลังใจไม่ถูก..ก็อีกนาน

ตรงนี้ไม่ต้องดูใครหรอก อาตมาเองทำกรรมฐานสามปี แล้วเป็นสามปีที่ขยันมากเลย ทุ่มเทให้ทุกวัน ปรากฏว่าอยากมากเกินไป จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจว่า จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ภาวนาของเรา พักเดียวได้เลย กำลังใจลดลงมาตรงร่องพอดี ตอนนั้นที่ไม่ได้เพราะอยากเกินไป หมดอยากเมื่อไรแล้วก็จะดี


ถาม : หนูเคยท้อใจว่าทำไมปฏิบัติมาแล้วไม่ได้
ตอบ : นานถึงสามปีหรือยังจ๊ะ เอาไว้ถึงสามปีก่อนแล้วค่อยมาท้อ ทำอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ ก่อน

เถรี 25-06-2010 12:19

ถาม : แม่หนูจะเป็นอย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ต้องถามแม่ อาตมาตอบแทนแม่ไม่ได้

ถาม : แม่หนูจะหมดหนี้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ถามแม่ก็ต้องถามหมอดู เรื่องอย่างนี้เลิกตอบมานานแล้ว เพราะออกนอกหลักธรรมมากเกินไป

ขอให้เชื่อที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก ฉะนั้น..แม่เป็นหนี้ไม่เป็นไรหรอก เราอย่าเป็นก็แล้วกัน

เถรี 25-06-2010 12:22

ถาม : เกิดมาแล้วรู้สึกว่าตนเองโดนเบียดเบียน เดี๋ยวคนนั้นก็มาใช้เราทำนั่น เดี๋ยวคนนี้ก็มาใช้เราทำนี่ รู้สึกว่าเบียดเบียนเราเหลือเกิน อย่างไรเราต้องทำให้เขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทำไมเราถึงโดนเบียดเบียนจัง ?
ตอบ : ถ้าเลิกใช้คำว่า "ทำไม ?" ก็จะมีความสุข แต่ถ้ายัง "ทำไม ?" อยู่ ก็หาความสุขไม่ได้หรอก

ถาม : แต่ก็ยังโดนเบียดเบียนนี่คะ ?
ตอบ : เราโดนแค่ตอนนี้ พอตายก็พ้นไปแล้ว มีปัญญาทวงเท่าไรก็เชิญ เอาเขามาตั้งหลายล้านคืนให้เขาแค่บาทเดียว จะไม่ยอมคืนบ้างเลยหรือ ?

เถรี 25-06-2010 19:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำอะไรให้ทำบ่อย ๆ การทำบ่อย ๆ ได้ทั้งความเพียรพยายาม ได้ทั้งความชำนาญ
อยากพูดเก่ง....................ให้พูดบ่อย ๆ
อยากอ่านหนังสือเก่ง............ให้อ่านบ่อย ๆ
อยากเขียนหนังสือเก่ง..........ให้เขียนบ่อย ๆ
อยากปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า...ก็ต้องทำบ่อย ๆ"

เถรี 25-06-2010 22:25

ถาม : พวกฤกษ์ยามมีสำคัญต่อชีวิตมากไหม?
ตอบ : ก็มีอิทธิพลอยู่ แต่ถ้ากำลังใจของเราเข้มแข็งจริง ๆ ก็มีความสำคัญน้อยหน่อย

เถรี 25-06-2010 22:29

มีคนนำก้อนหินแปลก ๆ มาให้พระอาจารย์ดู แล้วถามว่าคืออะไร ? มีพลังงานอะไรข้างในหรือไม่ แล้วดีหรือไม่ ?

พระอาจารยก็ตอบไปว่า "วัตถุธาตุทุกชนิดมีพลังงานอยู่แล้ว ถ้าดีจริงอย่างที่เขาว่า คนเราก็ไม่ตายนะสิ..!"

เถรี 26-06-2010 08:02

ถาม : ปฏิบัติพุทโธและกำหนดลมหายใจ พอออกจากการปฏิบัติ โกรธกับโลภรู้สึกว่ามันเป็นสภาวะร้อนแล้วเราจับง่าย ละความไม่พอใจง่าย แต่ให้ละความพอใจ ละความหลง ความฟุ้งซ่าน ทำไม่ค่อยได้ มีเทคนิคอย่างไรที่ทำให้เราไม่หลงหรือฟุ้งซ่านไปนาน ?
ตอบ : สำคัญที่สุดก็คือตอนนั่ง เราทรงอารมณ์ได้เท่าไร จะลุกไปทำอะไรให้เอาสติประคองอารมณ์ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด

ส่วนใหญ่เราลุกแล้วเราทิ้งเลย การปฏิบัติก็เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ พอเราปล่อยก็ลอยไปตามน้ำ เราก็จะไปเดือดร้อนกับ รัก โลภ โกรธ หลง อีก แต่ถ้าเราพยายามประคองรักษาเอาไว้อยู่ตลอด ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราไม่ได้

แรก ๆ ก็ประคองอารมณ์ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวเดียวก็สลายแล้ว แต่ถ้าเราพยายามตั้งสติ รักษาเอาไว้ให้ได้เท่ากับตอนที่เรานั่ง แรก ๆ ได้สักครึ่งชั่วโมงก็เก่งแล้ว แล้วค่อยเพิ่มเป็นชั่วโมง..สองชั่วโมง..สามชั่วโมง..ครึ่งวัน..วันหนึ่ง..สองวัน..ห้าวัน..สิบวัน จะได้มากขึ้นเรื่อย ๆ


ถาม : เคยปฏิบัติในลักษณะ ไม่ยุ่งทางโลกแล้วจะมาทางธรรมได้ง่ายมาก พอไปยุ่งทางโลก มักจะมีทิฏฐิเข้ามาแทรกว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว ก็ปรุงแต่งไปว่า ฟังเพลงก็ได้ ทั้งที่ผิด เพราะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ทำ เราก็ไม่ควรทำ ตอนที่ปฏิบัติจะรู้สึกอย่างนั้นเลย สมมติขับรถไป ง่วงนอน อยากให้หายง่วงก็จะฟังเพลง ก็ไม่ควรทั้งที่ควรจะหาเทคนิคอย่างอื่นมากกว่าในการที่จะทำให้ตื่น
ตอบ : ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้ากิเลสยังแรงอยู่ ก็ชักเราไปทางอื่นจนได้ ถ้ารู้ตัวเมื่อไรก็เลี้ยวกลับ สำคัญว่าถ้าเรารักษาอารมณ์ได้ กิเลสก็จะกินเราไม่ได้ ส่วนใหญ่เราเลิกแล้วเราเลิกเลย พยายามไปลองประคองดู

แรก ๆ ก็ได้เดี๋ยวเดียวเท่านั้น พอนาน ๆ ก็จะยืนระยะได้นานขึ้น ถ้าได้เป็นเดือนเป็นปีเมื่อไร จะมีความสุขอย่าบอกใครเชียว

ถาม : แต่พอมาพิจารณารูป รส กลิ่น เสียง รูปนี่ไม่ค่อยติดมาก แต่เสียงจะมีปัญหาเยอะ
ตอบ : กิเลสทุกชนิดแรงเท่ากัน เพียงแต่เราแพ้ตัวไหน ก็จะหนักสำหรับเราตัวนั้น ถ้าคนอื่นเขาไปแพ้เรื่องรูปเขาก็จะหงายท้องตั้งแต่ยกแรกเลย เพราะฉะนั้นเราแพ้ตัวไหนตัวนั้นจะหนักสำหรับเรา ทุกตัวน้ำหนักมันเท่ากัน

ถาม : แล้วเราควรจะหลีกเลี่ยงก่อนไหมคะ?
ตอบ : ถ้าหากเราสู้ไม่ไหวก็หลีก ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ไหวแล้วไปสู้ก็ตายเปล่า

ถาม : ตายมาหลายรอบแล้วค่ะ ต้องหลีกก่อนใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนมีปัญญาเขาต้องหลีก ลองพยายามดู ขออวยพรให้เอาชนะได้ไว ๆ จ้ะ

เถรี 26-06-2010 12:05

เมื่อไม่นานมานี้ข่าวลือว่าจะเกิดภัยพิบัติ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า

"เรื่องของการถือมงคลตื่นข่าว ถือว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป อย่าลืมว่าการกิน การนอน การสืบพันธุ์ การกลัวภัย จัดเป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์โดยถ้วนหน้า สำคัญที่ว่าใครจะมีสติมากกว่ากัน

พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงสติสัมปชัญญะว่าเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก คือ หลักธรรมทุกข้อต้องอาศัยสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องหนุนเสริมทั้งหมด

ถ้าเรามีสติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะตาย กำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนว่าตายแล้วจะไปไหน เรื่องภัยพิบัติต่าง ๆ ก็ไม่ใช่ของน่ากลัว เพราะความตายถ้าไม่หลุดพ้นไปนิพพานเลยก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต เป็นแค่การเปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนขันธ์ไปเท่านั้น ดีไม่ดีเวียนว่ายตายเกิดอย่างยาวนานอีก

คุณยายเขาถามเมื่อเช้าว่า พระอรหันต์กลัวอะไร ? อาตมาเลยบอกว่ากลัวจะไม่ตาย ฉะนั้น..พวกเราเองยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็พยายามหน่อย แต่ความจริงคุณยายถามผิด เพราะพระอรหันต์ไร้ซึ่งความกลัวทั้งปวงแล้ว แต่ไม่ได้มีความยินดีที่อยากจะอยู่ในโลกนี้อีก ท่านอยู่ก็ได้..ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายก็ได้ไปนิพพาน พ้นทุกข์เสียที"

เถรี 27-06-2010 10:56

ถาม : คำว่าก้าวล่วงความทุกข์ได้ ต้องเป็นอารมณ์แบบไหนคะ ?
ตอบ : อารมณ์พระอรหันต์

ถาม : เห็นความทุกข์เป็นธรรมดาหรือคะ ?
ตอบ : เห็นเป็นธรรมดา ว่าปกติจะต้องเป็นอย่างนั้น อยากจะทุกข์ก็ทุกข์ไป เพราะเราจะพ้นไปอยู่แล้ว

เถรี 27-06-2010 11:08

พระอาจารย์เล่าถึงเรื่องการระลึกถึงคุณบิดามารดาให้ฟังว่า "ปู่จอม (ญาติยายผีป่า) ไปรบที่เชียงตุง ตอนนั้นกองทัพไทยยึดเชียงตุงของพม่าได้ ก็เลยส่งกำลังไปเสริม ปู่จอมโดนเกณฑ์ไปด้วย

ปู่จอมบอกว่าไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย ยกเว้นชายผ้านุ่งแม่เท่านั้น เป็นเรื่องอัศจรรย์มากในเรื่องของคุณบิดามารดาที่เห็นชัดที่สุด เพราะแม่จะจำได้ว่า นุ่งผ้านุ่งผืนไหนคลอดลูกคนไหน ถึงเวลาถ้าลูกต้องไปแดนไกล ก็จะฉีกชายผ้านุ่งพันแขนไปให้ หรือควั่นคล้องคอไปให้

ปู่จอมบอกว่า เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ตาม เอาชายผ้านุ่งแม่แช่น้ำอธิษฐานเป็นน้ำมนต์ กินหายทุกครั้ง

ถามปู่จอมว่า "ปู่ไม่ได้พระกริ่งเชียงตุงจากสมเด็จพระสังฆราช(แพ)บ้างหรือ ?" ปู่บอกว่าได้..แต่ตอนรบไม่รู้วิ่งไปตกหายที่ไหน เนื่องจากได้รับพระมาก็เป็นแต่องค์พระเฉย ๆ สมัยก่อนการเลี่ยมก็ไม่มี มีแต่เอาลวดสายไฟถัก ปู่จอมเอาพระใส่กระเป๋าไว้เฉย ๆ ไม่รู้หล่นหายตอนไหน เหลือแต่ชายผ้าถุงแม่ เพราะควั่นเป็นเชือกแล้วคล้องคอเอาไว้

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันมาหลายต่อหลายรายด้วยกัน ในปัจจุบันนี้ที่เห็นชัดที่สุด ท่านเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของอาตมา เรียนประกาศนียบัตรบัตรบริหารการคณะสงฆ์รุ่นเดียวกัน แต่คนละห้องเรียน

ท่านจะเป็นหนึ่งในจำนวนพระที่ขยันมาก ๆ ก็คือ จะเข้าห้องเรียนก่อนทุกครั้ง ก็ปรากฏว่าท่านนี้เวลาทำวัตรเย็น ก็จะเห็นท่านล้วงเอาผ้าขาวผืนหนึ่งออกจากอก..วางกับพื้น..รีดเรียบอย่างดีแล้วก็กราบ ถึงเวลาทำวัตร ท่านก็พับผ้าขาวใส่มือ..แล้วอธิษฐาน เสร็จแล้วก็วางกับพื้น..กราบ.. ซุกใส่ตรงหน้าอกตามเดิม

อาตมาดูท่านอยู่ ๗-๘ วัน ก็เลยไปกระซิบถามท่าน "ขออภัยที่ละลาบละล้วง แต่อยากรู้ว่าผ้าอะไร ?" ท่านบอกว่า "เป็นผ้าสไบของแม่ที่ใส่ตอนบวชชี" ถามว่า "แม่ยังมีชีวิตอยู่ไหม ?" ท่านบอกว่า "ยังอยู่ พอแม่สึกแล้วขอแม่เป็นที่ระลึก ทุกครั้งที่สวดมนต์ทำวัตร ก็จะเอามาอธิษฐานจิตส่งบุญให้แม่"

เถรี 27-06-2010 19:36

นอกจากนี้ ท่านที่มาจากคณะสงฆ์ภาค ๑๕ ยังมีตัวอย่างที่ดีอีก ก็คือ ท่านเจ้าคุณราชฯ เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ท่านเจ้าคุณท่านเลี้ยงแม่ เอาแม่มาอยู่วัด แล้วทำกับข้าวให้แม่ทุกเช้า เข้าครัวไปลงมือทำเอง ลูกศิษย์ก็อยากจะช่วย ท่านบอกว่า "ไม่ต้อง..พวกคุณไม่รู้ว่าแม่ผมกินอาหารรสไหน แต่ผมอยู่กับแม่ผมมาตั้งแต่เด็ก..ผมรู้ และอยากให้แม่ชื่นใจว่าลูกทำให้"

ในเมื่อมีตัวอย่างอย่างนี้แล้ว บรรดาพระที่อยู่ในภาค ๑๕ ถ้าหากมีคนทำตามบ้างก็ไม่ถือว่าแปลก หัวแถวเดินตรง ลูกแถวก็เดินตาม

ฉะนั้น..ในเรื่องของพระคุณพ่อ พระคุณแม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัด ท่านบอกว่าบุรุษผู้มีกำลัง นำบิดามารดาวางไว้บนบ่าแห่งตน เลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี ให้ท่าน กิน ถ่าย นอน บนนั้นอยู่ตลอดร้อยปี ยังชดใช้หนี้ที่ท่านเลี้ยงมาไม่ได้

ใครที่ยังมีพ่อมีแม่อยู่ ขอให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราโชคดีมาก บุคคลที่เกิดมาในครอบครัวเดียวกัน อย่างน้อยก็ต้องเคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะทดแทนท่าน เพื่อบรรเทากรรมที่เคยล่วงเกินกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

โดยเฉพาะถ้าเป็นวาระที่สำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ หรือวันเกิดของท่าน หาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา กรรมที่ผูกพันกันมาแต่อดีตจะได้ขาดลงเสียที"

เถรี 27-06-2010 22:29

"อาตมาเองถือว่าโชคดี ได้ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ดูแลแม่อีก ๓ ปีเต็ม ๆ

ตอนที่ดูแลอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโชคดีหรอก เพราะว่าช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ระหว่าง ป.๖ - ม.ศ. ๓ ตอนกลางวันเรียนหนังสือและช่วยงานบ้าน กลางคืนก็ดูแลพ่อ และท่านก็เป็นโรคที่ไม่ค่อยมีใครเหมือน ก็คือ พอเวลาผ่านไปสัก ๑๐ นาทีหรือ ๑๕ นาที กล้ามเนื้อท่านจะหดเกร็งและทรมานมาก ต้องคอยขยับนวดให้คลาย ก็แปลว่าอาตมาโดนเรียกทั้งคืน

เด็กวัยรุ่นกำลังกินกำลังนอน โดนเรียกทั้งคืน ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น..! บางเวลาเพลียจัด เสียงเรียกเหมือนดังมาสุดขอบโลก แต่เราได้ยินเพียงนิดเดียว พยายามตั้งสติที่จะลุก กว่าจะตั้งสติลุกขึ้นมาได้ พี่เขาก็ทนไม่ไหว ลุกมาก่อน เราลุกขึ้นมาพอดี ก็เลยโดน "พ่อเรียกอยู่ตั้งนาน มันทำหูทวนลม พอกูมาละก็ลุกเชียว..!" เขาไม่ได้ฟังเหตุผล ด่าเอาไว้ก่อน บางทีมีลงไม้ลงมืออีกด้วย..!

เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับ เพราะคนอื่นล้วนแล้วแต่อ้างว่ามีภารกิจ บรรดาพี่ ๆ เขาไปทำงานกันหมด ลูกชายที่พอจะทำอะไรได้มากที่สุดตอนนั้นดันเป็นเรา ก็ต้องทนรับไป

ฉะนั้น..วันที่พ่อตาย ใคร ๆ เขาเสียใจกัน แต่อาตมารู้สึกดีใจมากเลย เหมือนกับว่าได้พ้นนรกเสียที แต่แปลกตรงที่ว่า จากที่เคยนอนอยู่กับท่านมาหกปีเต็ม ๆ พอถึงเวลาคืนแรกที่นอนคนเดียว กลับนอนไม่หลับ

รู้สึกว่าห้องแคบ ๆ กลายเป็นกว้างสุดลูกหูลูกตา ควานไปแล้วไม่เจอใคร ในเมื่อนอนไม่หลับ ก็คลานไปนอนกับศพ..! เพราะเขาเก็บศพเอาไว้ รอฤกษ์ดีจะได้ใส่โลง พออยู่ใกล้แล้วหลับได้ จึงกลายเป็นคนไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว"

เถรี 28-06-2010 10:54

"พอถึงคราวแม่ป่วย พี่ ๆ เขาแต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว คนที่ไม่แต่งงานและอายุมากที่สุดก็ดันเป็นเราอีก ก็เลยต้องรับหน้าที่ดูแล พาแม่ไปโรงพยาบาลตลอด กว่าจะหายเป็นปกติก็ตั้งสามปีเต็ม ๆ

ช่วงที่พ่อป่วยจนกระทั่งตายและจัดงานศพเสร็จ ทุกคนเหลือแต่ตัว โดยเฉพาะช่วงงานศพเขามีกงเต็ก ๗ วัน ตอนนั้นตกคืนละ ๗ พันบาท ถามพวกพี่ ๆ ว่า "เราไม่จัดไม่ได้หรือ ? ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย" เขาให้เหตุผลว่า "ถ้าทำได้..แล้วไม่ทำ คนอื่นเขาจะดูถูกเอา"

พอจัดงานศพพ่อเสร็จ ทุกคนก็ตั้งต้นนับหนึ่งใหม่ เพราะกงเต็กคืนละ ๗ พันบาท ตอนนั้นทองบาทละ ๒,๐๐๐ เท่านั้น..!

คราวแม่ป่วย ถึงเวลาหายก็แทบต้องนับหนึ่งใหม่เหมือนกัน เพราะเขาเจาะคอเพื่อที่จะใส่หลอดหายใจ ไม่ทราบหมอทำอย่างไรจึงติดเชื้อ แผลกลายเป็นหนอง เวลาแม่หายใจ หนองมันฟอดออกมาเลย ก็ต้องฉีดยาฆ่าเชื้อ

ยาฆ่าเชื้อนี้ชื่อ คลาฟอรัน (Claforan) สมัยนั้นหลอดละ ๕,๐๐๐ บาท ต้องฉีดเช้าเย็นทุกวัน สมัยนี้ไปถามแล้วเขาบอกหลอดละ ๓๐๐ บาท แสดงว่าสมัยก่อนหายาก ซึ่งความผิดพลาดเป็นของหมอ แต่เราต้องจ่ายเอง

แต่ก็ดีอยู่อย่างว่า พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า ทำให้ทุกคนไม่รู้สึกว่ามีอะไรยากในชีวิต เพราะว่าเราผ่านช่วงยากลำบากมาแล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งมาสองสามครั้งแล้ว เลยไม่มีใครกลัวถ้าจะต้องไปนับหนึ่งใหม่ แล้วจะเป็นอะไรที่ฟื้นตัวเร็วมาก ๆ เพราะเรารู้ว่าถ้าเราไม่ขยันก็แปลว่าตามใครไม่ทัน เพราะเราเริ่มต้นใหม่ จึงต้องขยัน ทุ่มเทเต็มที่"

เถรี 28-06-2010 13:38

"พวกเราทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ นอนตีสองตีสามประจำ ตีห้าต้องตื่นมาทำงานใหม่ มีเวลาพักผ่อนนิดเดียว ก็เลยมานึกว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมของพวกเรา ถ้าได้ผ่านช่วงที่ยากลำบาก ต่อสู้ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกมา ถึงเวลาก็จะไม่มีเรื่องยากสำหรับเราเช่นกัน เพียงแต่ว่าเราทั้งหลายนี้ ถึงช่วงนั้นบ้างแล้วหรือยัง ?

ช่วงการปฏิบัติที่ว่าถ้าทำไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย ถ้าเราทำอย่างนั้นได้เสียครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปจะไม่ยาก เพราะใช้กำลังใจเท่าเดิม ฉะนั้น..โบราณจึงได้กล่าวว่า ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะไม่มีอะไรที่จะลำบากไปกว่านั้นอีกแล้ว


ในเมื่อลำบากมาก่อน ถึงเวลาถ้าลำบากเท่าเดิมก็สบายสำหรับเรา แต่คนที่ไม่เคยลำบากมาก่อนอาจจะถึงตาย หรือไม่ก็เอ็ดตะโรลั่นไปเลย เพราะทนความลำบากไม่ไหว

ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง สืบเนื่องจากว่า เพื่อนท่านสวดมนต์ทำวัตรทำกรรมฐาน อุทิศกุศลให้แม่ตลอด และเรื่องปู่จอมที่ไปสงครามเชียงตุง เดินนับไม้หมอนกลับประเทศไทย เพราะถึงเวลาถอนกำลังกลับ ไม่มีใครส่งรถไปรับ ก็ต้องเดินกลับมาเอง

เมื่อดูตัวอย่างของเพื่อนพระหรือปู่จอม จึงได้กล่าวมาถึงตนเองว่า มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เป็นการทดแทนให้กับพ่อกับแม่ ขณะที่คนอีกจำนวนมากไม่ได้มีโอกาสนี้ แต่ว่าตอนที่ทำก็ไม่ได้รู้สึกว่าดีเลย ทำเพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทำเพราะเป็นภาระจำยอม เนื่องจากว่าสภาพของเราไปพอเหมาะพอดีกับตรงนั้นเอง"

เถรี 29-06-2010 01:02

"หลังจากนั้นอาตมายังมีโอกาสดูแลหลวงปู่มหาอำพันอีก รวม ๆ แล้วจะมีระยะเวลาของการอยู่กับผู้ป่วย หรืออยู่โรงพยาบาลรวมแล้วสิบกว่าปี

บางทีตัวเองป่วยไปอยู่โรงพยาบาล พอหมอมาตรวจเราก็รายงานทุกอย่างเหมือนนางพยาบาลเขารายงาน เขาก็สงสัยว่าเราป่วยบ่อยหรือ ? ป่วยบ่อย..แต่เข้าโรงพยาบาลไม่บ่อย ไม่จำเป็นจริงจะ ๆ ไม่เข้า ยกเว้นโดนเขาบีบคอถึงจะยอมไป..!

สรุปตรงที่ว่า ถ้าหากเราผ่านในความยากลำบากของชีวิตมาก่อน ก็จะไม่มีสิ่งใดให้เราต้องลำบากอีก เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายที่ตะเกียกตะกายไปบึงลับแลมา แล้วรู้สึกว่าลำบาก ขอยืนยันว่าที่นั่นยังสบายอยู่...

ความสบาย..ทำให้คนอ่อนแอลง ความเข้มแข็งของกำลังใจลดลง พระปฏิบัติส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะถือธุดงควัตร เพื่อเป็นการขัดเกลากิเลส การขัดเกลากิเลสพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า สัลเลขธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องขัดเกลา ปวิเวกธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลีกออกจากหมู่

ดังนั้น..ในแต่ละปีควรจะมีเวลาเป็นของตัวเอง ได้ไปปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันสัก ๗ วัน หรือ ๑๐ วัน เป็นการสั่งสมกำลังของตัวเอง

อาตมาเองเป็นคนหวงเวลาส่วนตัวมาก พอถึงเวลาก็จะไม่ยุ่งกับใครแล้ว เอาเรื่องของตัวเองเป็นใหญ่ โดยเฉพาะช่วงก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา ช่วงเดือนมกราคมจะเป็นช่วงเวลาที่ออกป่า เหมือนอย่างกับว่าเราไปเพิ่มพลังให้กับตัวเอง

เรื่องของการปฏิบัติควรจะมีเวลาทำต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง บ่อย ๆ แล้วจะมีความก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนกับว่า เราตำข้าวสารกรอกหม้อ ไม่ค่อยจะพอกรอกด้วย ทำนิด ๆ หน่อย ๆ ในแต่ละวัน ไม่พอใช้งานเสียด้วยซ้ำ แล้วจะเอากำลังสะสมที่ไหนไปสู้กิเลสได้

ที่พูดมานี้เพื่อว่า ใครก็ตามที่ทำงานอยู่ พยายามดูว่าช่วงไหนที่มีวันหยุดยาว ๆ หรือช่วงไหนที่เราลาพักร้อน หรือมีสิทธิ์ที่จะลาตามกฎระเบียบสถานที่ทำงานของเรา ก็สะสมวันให้ได้ห้าหรือเจ็ดวัน สามวันแรกนี่ไม่ต้องเลยนะ ขอยืนยันว่าสามวันแรกกำลังฟุ้งเต็มที่ ไปเริ่มดีเอาวันที่สี่ทั้งนั้น"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:23


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว