กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6795)

เถรี 27-10-2019 21:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงปีหน้ามีอยู่งานหนึ่งที่ไม่มีใครนึกถึงแต่อาตมาอยากจัด ก็คืองานทำบุญถวายพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (ท่านอาจารย์สว่าง) วัดรัตนานุภาพ (โคกโก) ที่โดนผู้ก่อการร้ายยิงตาย เพราะว่าคบหาสมาคมทำงานพระศาสนามาด้วยกัน ๒๖ ปี แล้วท่านเป็นน้องเล็กที่สุดในคณะ

ตอนนั้นในคณะ ๖ รูปอาตมาแก่ที่สุดเพราะว่าตอนนั้นได้ ๘ พรรษา หลวงพ่อนิลได้ ๖ พรรษา อาจารย์สว่าง ๒ พรรษา อะไรจะใจถึงปานนั้น ไปปฏิญาณตนว่าจะทำหน้าที่เพื่อพระศาสนาแม้ต้องมอบกายถวายชีวิตก็ยอม ตอนนี้หมดไปแล้ว ๔ รูป เหลืออาตมากับหลวงนิลอยู่ ๒ คน คราวนี้ท่านมรณภาพวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๒ พวกเราเองก็จัดสวดคาถาเงินล้านวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓ กำลังคิดอยู่ว่าจะติดป้ายว่าอุทิศส่วนกุศลให้ท่านด้วย หรือว่าจะจัดงานต่างหากดี ?"



เถรี 27-10-2019 21:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีเพื่อนพระด้วยกันท่านบอกว่า ถ้าเจอพระวัดหนึ่งต้อนรับขับสู้ดี โอภาปราศรัยดี ชักชวนในการทำบุญงานต่าง ๆ อยู่เสมอ กับไปอีกวัดหนึ่งพระท่านไม่ค่อยจะพูดจาด้วย แล้วก็มักจะเน้นแต่การปฏิบัติธรรม ไม่เน้นเรื่องการสร้างบุญ เราควรที่จะไปทำบุญที่วัดไหนระหว่าง ๒ วัดนี้ ?

อาตมาบอกว่าไปทั้ง ๒ วัดนั้นแหละ ถึงเวลาไปวัดนี้ชอบทำบุญเราก็ทำด้วย ไปวัดโน้นชอบปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติด้วย จะได้ทั้ง ๒ อย่าง มัวแต่ไปเลือกที่รักมักที่ชังอยู่ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี"

เถรี 27-10-2019 21:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในงานเมื่อเช้าได้เจอหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล บางคนเรียกว่า หลวงพ่อเล็ก วัดป่าเลไลยก์ ที่ท่านสร้างพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ หรือหลวงพ่ออู่ทองแกะสลักที่หน้าผามังกรบิน ภายใต้สโลแกนที่ว่า “หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน”

อาตมาถวายเงินร่วมสร้างตอนนั้นหนึ่งล้านบาท ถึงเวลาท่านเจอหน้า ท่านก็บอกว่า ท่านไปหาหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงไม่กี่ครั้ง ท่านไม่รู้หรอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงเก่งแค่ไหน แต่มั่นใจว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องเก่งและมีฤทธิ์แน่ ๆ ถามว่าทำไม ? ท่านบอกว่า "ลูกศิษย์อย่างพวกเอ็ง ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างวัดเหมือนกับเนรมิต ถ้าหลวงพ่อเอ็งไม่เก่ง ลูกศิษย์ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก"

วันที่เจอหน้าท่านก็บอกว่า “เล็ก..เอ็งให้ที่นี่สิบล้าน ขอข้าล้านเดียวก็พอ” ถามว่าหลวงพ่อจะทำอะไร ? ท่านบอกว่าจะสร้างพระจุฬามณีเป็นยอดมงกุฎหลวงพ่ออู่ทอง ก็คือหลวงพ่ออู่ทองพิงหน้าผาอยู่ หลวงพ่อเล็กท่านตั้งใจสร้างพระจุฬามณีบนยอดผา ถ้ามองด้านตรงจะเห็นหลวงพ่ออู่ทองมียอดมงกุฎเป็นพระเจดีย์จุฬามณี

ถามว่าแล้วหลวงพ่อสร้างราคาเท่าไร ? ท่านบอก “ข้ามันคนเบี้ยน้อยหอยน้อย สร้างแค่สองล้าน” เลยกราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อ..จุฬามณีสร้างสองล้านนี่ ๓ วันก็พังแล้ว” ท่านบอกว่า “ไม่ใช่เว้ย...ช่างเขาฝีมือดี เขาเห็นใจข้า..ที่จ่ายเงินเยอะแล้ว” เลยกราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่ออย่าเพิ่งรีบตายแล้วกัน เดี๋ยวหาเงินได้ผมจะเอาไปถวาย”

เถรี 27-10-2019 21:45

"ความจริงท่านเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด ก่อนหน้านี่เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นอะไรต่อมิอะไร แต่ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นพระปฏิบัติ จนอาตมาแอบไปเปิดโปง ตั้งแต่นั้นมาเจอหน้าเมื่อไรท่านขอเขกกบาลที ถึงเวลาไปเปิดโปงทำให้ท่านเหนื่อย แต่ท่านบอกว่าทำงานเพื่อสงฆ์ท่านยอมเหนื่อย

เมื่อต้นปีงานวันเกิดท่านนี่แหละ ท่านบอกว่า “เฮ้ย...เล็ก ไปงานข้าหน่อยนะ ปีนี้ข้า ๘๔ ปี” บอกท่านว่า "หลวงพ่อ..ผมติดงานรับสังฆทานจริง ๆ ครับ" ท่านถามว่า "สังฆทานจะสักกี่บาทกี่เฟื้องวะ ?" “หลวงพ่อ..เป็นแสนเลยนะครับ” "เออ...ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็ไปรับเถอะ" ท่านก็คิดเหมือนอย่างกับไปถวายสังฆทานตามวัดทีละร้อยสองร้อย...ก็ใช่อยู่ แต่พวกเรามีจำนวนมาก รวมกันแล้วก็เป็นแสน ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าถ้าหลวงพ่อถวายผมเป็นแสนก็จะไปให้..!"

เถรี 27-10-2019 21:46

พระอาจารย์กล่าวว่า “คนแก่ไม่ได้หวังอะไรจากลูกหลานมากหรอก หวังแค่ ๓ อย่าง ยามแก่เฒ่าหวังเจ้าเฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้หวังให้เจ้าเฝ้ารักษา ยามเมื่อถึงคราวตายวายชีวา หวังลูกช่วยปิดตายามสิ้นใจ

ประโยคสุดท้ายนั้นไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าคนตายเราต้องไปปิดตาให้ แต่หมายความว่าลูกหลานสร้างสมแต่คุณงามความดี อยู่ในศีลในธรรม เป็นพลเมืองดี ทำให้พ่อแม่ไม่มีห่วง ภาษาโบราณใช้คำว่า ตายตาหลับ หวังลูกช่วยปิดตายามสิ้นใจ ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก มีความกตัญญูดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเองให้เต็มที่ก็พอแล้ว”

เถรี 27-10-2019 21:47

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของเงินงอกเอง อาตมาเลิกคิดมานานแล้วล่ะ เพราะว่าวันก่อนนั่งนับเงินแล้วไม่พอ แล้วจะทำอย่างไร ? นับใหม่อีกรอบ นับไปนับมางอกมาจากไหนอีกล้านหนึ่งวะ ? เลิกสงสัยแล้ว มาเป็นก้อนเลย มัดใหม่ ๆ วางทิ่มลูกตาอยู่เลย คนอื่นเขาก็จะว่าขี้ลืม บังเอิญอาตมามั่นใจสมองตัวเองว่ายังไม่ลืม”

เถรี 27-10-2019 21:53

พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงครามท่านหนึ่ง หลวงพ่อพระธรรมเสนานี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐมอีกท่านหนึ่ง มีคนเห็น ๒ ท่านนี้เด็ดขาดมาก เลยถามว่าหลวงพ่อสั่งห้ามพระสักลายได้ไหม ? ท่านบอกว่า "พวกเลขยันต์ช่วยรักษาประเทศชาติมา พระพุทธศาสนาถึงตั้งอยู่ได้ แล้วอยู่ ๆ จะให้ผมไปสั่งห้ามเขาหรืออย่างไร ?"

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่มีรอยสักให้เห็นเลย ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ ตอนบวชเป็นสามเณรยังทันหลวงปู่อยู่ พวกสักเลขยันต์เป็นเรื่องของลูกผู้ชายสมัยก่อน เอาไว้เป็นเครื่องคุ้มตัว หรือไม่ก็เป็นการประกาศให้เขารู้ว่าเราไม่ใช่คนใจเสาะ ไม่ใช่คนกลัวเจ็บ ช่วยในการรักษาผืนแผ่นดินให้เรามาตั้งกี่ยุคกี่สมัยแล้ว ท่านบอกว่าเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ อยู่ ๆ จะให้ไปห้ามท่านทำไม่ได้

ส่วนที่ใจถึงสุด ๆ ก็ต้องหลวงพี่ชลอ...โน่น ท่านสักยันต์ตะกร้อของหลวงปู่สุด วัดกาหลงตั้งแต่ยุคท่าน แล้วลองคิดดูว่ากะโหลกโดนเข็มนี่เจ็บอย่าบอกใครเลยนะ พอวันพระโกนหัวกันใหม่ ๆ ใคร ๆ ก็นึกว่าหลวงพี่ชลอยังไม่ได้โกนหัว เพราะว่ายันต์ตะกร้อจะเต็มหัวพอดีเลย เห็นยิ้ม ๆ ใจดี ๆ นั่นแหละ อดีตตังเกเก่า ผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว"


เถรี 27-10-2019 21:56

ถาม : อย่างการตั้งโต๊ะบวงสรวงงานแบบเมื่อเช้า จำเป็นไหมครับที่จะต้องหันหน้าไปทางตะวันออก ?
ตอบ : ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหันหน้าตะวันออกหรอก คุณลองดูว่าหน้างานอยู่ลักษณะอย่างนั้น แล้วเราไปตะแคงข้างบวงสรวงได้อย่างไร ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปยึดมั่นถือมั่นเลยไม่กล้าปรับ แบบเดียวกับการเปิดเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงบวงสรวง ผมเองโดนตั้งแต่ออกไปใหม่ ๆ เปิดเทปปั๊บท่านด่าใส่หูมาเลย “พวกเอ็งใช้ข้าจนตายแล้วยังจะใช้ต่อไปอีกหรือ ?” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาตมาก็เลิกใช้เทป นึกถึงหลวงพ่อท่านแล้วก็ลุยเลย ก็เห็นว่าขลังดี

บางทีพวกคนเก่าวัดท่าซุงไม่เข้าใจ จริง ๆ พวกเก่า ๆ ควรที่จะเข้าใจเลย เพราะว่าฝึกมโนยิทธิมา คือไปนึกถึงท่านว่าท่านเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ท่านตายเราก็ยังกวนไม่เลิกก็เกินไป ดังนั้น..โดนด่าทีเดียวจบเลย...ทำเอง ก็คิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

เถรี 27-10-2019 22:07

เพราะว่าตั้งแต่ตอนที่อยู่วัดท่าซุง ที่ทำแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ พอหลวงพ่อท่านให้แบบมา เขียนยันต์เสร็จก็เอาไปถวายหลวงพ่อขอให้ช่วยเสกให้ด้วย ท่านบอกว่า “วิธีอะไรก็รู้หมดแล้ว ไปเสกเองสิวะ” โห..กว่าจะเสร็จ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐๘ จบ นะมะพะทะ อีก ๑๐๘ จบ ล่อไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง แถมไม่ได้มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว

เวลาวัดมีพิธีก็แอบไปซุก หลวงพ่อท่านก็ดันเห็นอีก ท่านก็หัวเราะ บอกว่า “ตอนหลวงพ่อปานอยู่ ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนเอ็งนี่แหละ แต่พอสิ้นหลวงพ่อปานไป คนมาหาแต่ข้า ไม่มั่นใจก็ต้องมั่นใจแล้ว”

อย่างไปเจอวัดท่าทุ่งนา เห็นไหมว่าเขาสร้างพระใหญ่ตะแคงข้างให้ถนน คนขับรถผ่านไปมาจะดูพระต้องตะแคงหน้ามอง ก็หันหน้าเข้าถนนเสียก็หมดเรื่อง แต่ไม่ตรงทิศ ที่นี้เป็นเพราะยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปจึงเกิดสภาพอย่างนี้

ตอนแรกหลวงพ่อใหญ่หน้าวัดท่าขนุน ท่านบอกว่าไม่ต้องสร้างอาคาร ด้วยความเคยชินของอาตมาคือสร้างพระต้องมีอาคาร จึงไม่ค่อยสบายใจ แต่พอทำเสร็จแล้วถึงรู้ว่าต้องไม่มีอาคาร ถ้ามีอาคารพระจะไม่เด่น ตอนนี้พระสวยทุกบรรยากาศเลย


ถาม : คงกลัวว่าหันผิดทิศแล้วจะเก็บเงินไม่อยู่ ?
ตอบ : ตำราเขาบอกว่าถ้าหันผิดทิศ หาเงินเก่งเท่าไรก็ใช้จนหมด อาตมาก็ไม่ได้กังวล ปกติก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเงินของเราอยู่แล้ว ขอให้หาได้เถอะ ถ้าหาไม่ได้จะลำบาก

เถรี 28-10-2019 23:57

ถาม : (สอบถามเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔)
ตอบ : เอาอย่างนี้...มหาสติปัฏฐานสูตรทั้ง ๔ หมวด แบ่งออกเป็นสิบ ๆ หัวข้อ ทำหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องทั้งหมด กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เอาแค่อานาปานสติคือลมหายใจเข้าออกก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องทำก็ได้ คือที่เขาเขียนว่า ปัพพะ หรือว่าบรรพ ที่แปลเป็นภาษาไทยว่าตอน ตอนของอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก ตอนของอิริยาบถสัมปชัญญะ ดูอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เหล่านี้เป็นต้น

ทำข้อใดข้อหนึ่งก็พอแล้ว บรรลุธรรมแล้ว ที่เหลือไม่ต้องไปทำหรอก..เสียเวลา ยกเว้นว่าเราจะไปเป็นครูสอนเขา อยากจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องไปทำให้ครบ

เถรี 29-10-2019 00:02

ถาม : (สอบถามเกี่ยวกับดวงตาเห็นธรรม)
ตอบ : เอาเป็นว่า...คำว่า ดวงตาเห็นธรรม ก็คือปัญญา ถ้าปัญญาเราพอ ถึงจะเข้าใจว่าที่ท่านพูดนั้นเพื่ออะไร คราวนี้ในพระไตรปิฎกนั้น มหาสติปัฏฐานสูตรอย่างหนึ่ง พระอภิธรรมอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ท่านสอนเป็นการเฉพาะ พระอภิธรรม ๗ บทท่านสอนพรหมเทวดา ไม่ได้สอนคน ถ้าเราไม่ฉลาดเท่าพรหมเทวดา เราฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง

ส่วนมหาสติปัฏฐานสูตรท่านสอนชาวกุรุ ชาวกุรุฉลาดมาก ขนาดนกแขกเต้าที่เลี้ยงเอาไว้ยังเจริญอสุภกรรมฐานอยู่ประจำ แล้วคนจะขนาดไหน ? เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่ได้สั่งสมอบรมมามากขนาดนั้น เราก็จะไม่เข้าใจ

ดังนั้น..เราอ่านแล้วเราชอบใจบทไหนคิดว่าเหมาะกับเรา ทำบทนั้นบทเดียว เพราะว่าเราไม่ได้อ่านจนครบ ตอนท้ายของทุกบรรพหรือทุกตอนที่พระพุทธเจ้าท่านสรุปไว้ว่า “นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ” เราจะไม่ยึดอะไร ๆ ในโลกนี้แม้แต่น้อยหนึ่ง ถ้าทำได้อย่างนี้บรรลุธรรมหมดทุกคนแล้ว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาไปทำเยอะ อีกอย่างก็คือท่านไม่ได้สอนคนทั่วไป แล้วเราก็คงฉลาดไม่เท่าคนแคว้นกุรุเขา

พระพุทธเจ้าท่านสอนคนตามกำลังใจ ถึงต้องแสดงธรรมไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าสอนอย่างเดียวเป็นยาครอบจักรวาลใช้ได้หมดทุกคน พระองค์ท่านก็คงไม่ต้องเหนื่อยยากเทศน์ไว้มากขนาดนั้น เพราะฉะนั้น..เราควรจะดูว่าอะไรที่เหมาะกับเราแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ไม่ใช่ว่ายากก็จะตะกายไปทำ

ท่านที่สั่งสมบุญบารมีมาในอดีตชาติ มีปุพเพกตปุญญตาที่สั่งสมไว้มาก ท่านก็จะเห็นว่าง่าย หรือไม่ก็ท่านที่ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมระดับหนึ่งแล้ว ก็เหมือนกับคนเรียนจบปริญญาสาขาหนึ่ง สาขาอื่นก็ใกล้เคียงกันนั่นแหละ ไม่ได้ไกลกว่ากันเท่าไรหรอก โดยเฉพาะถ้าวิชาสามัญก็วิชาเดียวกันเลย

เถรี 29-10-2019 00:08

ถาม : เรื่องของกลิ่น เราจะพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกัน อยากได้กลิ่นเมื่อไรความทุกข์ก็เกิด อยากได้ยินเสียงเมื่อไรความทุกข์ก็เกิด

ถาม : มันจะทำให้เราอยาก ...(ไม่ชัด)... เรารู้อยู่ แต่ไม่หลุดสักอันหนึ่ง ?
ตอบ : คือชอบก็เป็นราคะ ไม่ชอบก็เป็นโทสะ ทำอย่างไรที่เราจะเฉยได้ ก็ต้องวิ่งหาสมาธิเป็นหลัก

ถาม : ไม่ใช้สมาธิกดได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้....ถ้าไม่ใช้สมาธิกดต้องเห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาเป็นอย่างนั้น เราต้องได้กลิ่น เราต้องได้ยินถือเป็นเรื่องปกติ ก็อย่าไปยินดียินร้าย อย่าไปปรุงแต่งเพิ่มว่าเป็นกลิ่นอะไร เป็นเสียงอะไร

เถรี 29-10-2019 00:10

ถาม : เรื่องกสิณ ถ้าหากว่าตัวเนื้อ สี รูปร่างเปลี่ยนแปลงไป คือไม่ใช่เป็นรูปกลม ๆ ?
ตอบ : เป็นอย่างไรก็ได้ให้เราจับภาพนั้นได้ แต่ว่าอย่าไปใส่ใจรูปร่างลักษณะหรือสีสัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นกสิณโทษ เรามีหน้าที่นึกถึงอย่างเดียว รูปจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรอย่าไปใส่ใจ มีหน้าที่นึกถึงกับภาวนา

ถาม : นึกถึงเป็นภาพกสิณสองภาพได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าได้แล้ว ทำจนคล่องตัวแล้ว จะเอาวางไว้กี่ภาพก็ได้ แต่ถ้ายังไม่คล่องตัว เริ่มต้นใหม่ต้องเอาภาพเดียว

เถรี 29-10-2019 00:11

ถาม : เวลาที่ภาวนาไว้ตรงกลางของร่างกาย ไม่มั่นใจว่าคือตรงไหน ?
ตอบ : เหนือสะดือขึ้นมาประมาณ ๒ นิ้วมือแนวขวาง เราลองคิดถึงว่ามีอะไรจิ้มทะลุไปข้างหลัง แล้วก็จิ้มทะลุจากซ้ายไปขวา ตรงกลางกากบาทนั่นแหละ

ถาม : แบบนี้จะต่างกับการที่เราเอาภาพพระไว้บนศีรษะแล้วไล่ขึ้นมาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าแรกเริ่มของเรา ก็คือเริ่มจับศูนย์กลางกาย ถ้ามีความคล่องตัวแล้ว เราจะเอาไว้ตรงส่วนไหน ให้ไปทางไหนก็ได้

เถรี 29-10-2019 00:12

ถาม : การที่เราอยู่ในเพศฆราวาส กับการบวช อย่างไหนจะเห็นทุกข์ง่ายกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่เราทำถึงไหม ? ถ้าหากว่าทำถึง คลุกอยู่กับกองกิเลสจะเห็นทุกข์ง่ายกว่า แต่ถ้าทำไม่ถึง คลุกอยู่กับกองกิเลสก็ไหลตามกิเลสง่ายกว่า

เถรี 29-10-2019 00:12

ถาม : ทำพระเครื่องหาย ถือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เผลอสติก็หายกันได้

ถาม : แล้วท่านจะอยู่กับเราไหมครับ ?
ตอบ : เราระลึกถึงท่านอยู่ก็ยังเป็นอนุสติเหมือนเดิม แต่ว่าพลังงานในการคุ้มครองก็ห่างออกไป มาไม่ถึง


เถรี 29-10-2019 00:15

ถาม : อย่างสมาบัติเป็นครุกรรมฝ่ายกุศล แล้วญาณละครับ ?
ตอบ : ญาณเป็นผลของฌาน ต้องสร้างฌานให้เกิดได้จึงจะมีญาณ เพราะว่าฌานคือกำลังของสมาธิสมาบัติ ญาณคือเครื่องรู้ที่รู้โดยอาศัยกำลังฌานนั้น ๆ คราวนี้ถ้าเราใช้ดีใช้ถูกก็สนับสนุนการปฏิบัติเราให้คล่องตัวขึ้น ถ้าใช้ไม่ดีใช้ไม่ถูกก็โดนหลอกหัวปักหัวปำ แทนที่จะเป็นการสนับสนุนก็กลายเป็นการขัดขวางเราไป

เมื่อเช้าพระครูหน่อย มาปรารภว่า การเกิดเป็นทุกข์ เป็นการบังคับกันชัด ๆ ทำไมไม่ใช้ว่าการเกิดคือทุกข์ ? ลักษณะนี้แหละคือญาณหรือเครื่องรู้เกิด แต่อาตมาขอยืนยันว่าญาณเครื่องรู้เวลาเกิดนั้น คิดอะไรจะสมเหตุสมผลไปหมด คิดอะไรจะใช่ไปหมด แต่ให้สังเกตเอาไว้ว่า หลอกให้เราคิดไปเรื่อย ๆ โดยที่ลืมเรื่องของการตัดกิเลส มัวคิดไปเรื่อย เอ้อ..ต้องคือทุกข์ถึงจะใช่ ถ้าหากว่าเป็นทุกข์เหมือนกับว่าหนักไป นี่บังคับกันชัด ๆ ก็ไปเรื่อย...

จะมีเหตุมีผลในตัวอยู่ แต่จะหลอกให้เราคิดเตลิดเปิดเปิง แล้วก็ลืมเรื่องของการตัดกิเลส ลืมเรื่องของการดิ้นรนเพื่อความพ้นทุกข์ ก็ติดต่อไป เพราะฉะนั้น..ต้องระมัดระวังให้ดี

เถรี 29-10-2019 00:16

ถาม : ถ้าสติของเรากับสมาธิต่างคนต่างทำงาน เราจะใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดได้อย่างไร ?
ตอบ : เอาสติประคองสมาธิไว้ เราก็จะไม่ต้องบังคับสมาธิมาก พอสติสมาธิกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แค่ขยับตัวเราก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีปัญญาบวกเข้าไปด้วย แค่คิดเราก็จะรู้ว่าการคิดนี้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ แล้วก็จะเลือกในส่วนที่เป็นประโยชน์ ละในส่วนที่เป็นโทษ

เถรี 29-10-2019 00:17

ถาม : ผู้ชายใส่กางเกงขาสั้นไปวัดหรือมาเจอพระ จะมีโทษไหมครับ ?
ตอบ : ต่อให้อยู่บ้านก็มีโทษ เพราะผู้ชายก็อยากดูผู้หญิง ผู้หญิงก็อยากดูผู้ชาย เป็นการสร้างกิเลสให้เกิดในใจคนอื่นเขา เรียกว่าความหยาบของจิตมีมาก ก็เลยไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นทุกข์เป็นโทษต่อคนอื่นเท่าไร

ถาม : ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็ตาม ?
ตอบ : แล้วคุณคิดว่าผู้หญิงเขาอยากมองไหม ? ที่แย่กว่านั้นก็คือผู้ชายก็อยากมอง แล้วจะเดือดร้อนกว่าที่คิด..!

เถรี 29-10-2019 00:18

ถาม : ถ้าเราชอบการพิจารณาบ่อย ๆ แล้วทางด้านเจโตวิมุตติจะเจริญขึ้นมาได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพิจารณาเป็นจริง ๆ จะเป็นสมาธิเอง ถ้าพิจารณาไม่เป็นก็โดนหลอกเตลิดเปิดเปิงอย่างที่ว่านั่นแหละ เราต้องดูด้วยว่าการพิจารณาของเรานั้นเห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้และโลกนี้ไหม ? ไม่ใช่เห็นไปสารพัดเรื่อง เห็นความเป็นจริงแล้วสภาพจิตของเรายอมรับไหมว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา โลกนี้มีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อน ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมที่เราจะเกิดอีก ถ้าไม่สามารถสรุปลงตรงนี้ได้ ก็ยังเตลิดหาฝั่งไม่เจอหรอก

แต่ถ้าสามารถสรุปลงตรงนี้ได้ สภาพจิตของเรายิ่งพิจารณา ความหนักแน่นมั่นคงก็จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นสมาธิไปในตัว ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีกำลังของสมาธิมาช่วยจะตัดกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ในส่วนของปัญญาวิมุตติจริง ๆ ก็ต้องอาศัยกำลังของสมาธิช่วยในตอนสุดท้าย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วสมาธิเกิดแล้วท่านไม่รู้ตัว ในส่วนของเจโตวิมุตตินั้นละไว้ไม่ต้องกล่าวถึง เพราะว่าเป็นการใช้สมาธิโดยตรงอยู่แล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:20


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว