เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำทราบ ไม่ว่าจะเป็นท่านที่จะถวายเงินสด ทองรูปพรรณ หรือทองคำแท่งมาก็ตาม พระพุทธรูปทองคำของเราช่างออกแบบมาหน้าตัก ๒๑ นิ้ว ใหญ่กว่าเดิม ๕ นิ้ว เพิ่มทองขึ้นอีก ๔๐ กิโลกรัมเท่านั้น...! หน่อยเดียว...ต้องการทองคำอีกสองพันกว่าบาทเอง
ยังโชคดีที่ช่างทำบุษบกได้ทำดาวเพดานรูปบัวบานยื่นลงมาเกือบคืบ ไม่อย่างนั้นแล้วหน้าตักพระจะใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่ามีพื้นที่ให้ไปได้ ...(หัวเราะ)... ท่านที่ตั้งใจสร้างพระพุทธรูปทองคำ หน้าตัก ๑๖ นิ้ว โปรดทราบว่าได้กำไรเพิ่มขึ้นมาก เพราะองค์พระจากหน้าตัก ๑๖ นิ้ว กลายเป็นหน้าตัก ๒๑ นิ้ว ช่างแนะนำว่าให้สร้างเครื่องทรงติดองค์พระแล้วหล่อทีเดียวไปเลย จากที่อาตมาตั้งใจว่าจะหล่อองค์พระก่อน แล้วสร้างเครื่องทรงถวายทีหลัง แต่ถ้าช่างเป็นคนละคนกัน บางทีการออกแบบไปกันไม่ได้ก็จะดูหลอกตากัน แต่ถ้าเพิ่มเครื่องทรงขึ้นมาก็อาจจะต้องเพิ่มทองขึ้นมาอีก ยังมีเวลาอยู่ ๒ ปี เดี๋ยวค่อย ๆ หาไป ถ้าทองคำแพงค่อยซื้อเอา แต่ถ้าถูก ๆ อาตมาจะรอโยมถวาย..!" |
"จากที่อาตมาตั้งใจจะหล่อพระสามกษัตริย์ ก็คือ เงิน นาก และทองคำ โดยตั้งใจจะหล่อหลวงพ่อนากก่อน มีผู้รู้ท่านแนะนำให้หล่อหลวงพ่อเงินก่อน จากเงินไปนาก จากนากไปทองคำ ถือเคล็ดว่ามีแต่เจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ เอาอานิสงส์ให้พวกเรารวยขึ้นไปเรื่อย ๆ
องค์เนื้อเงินจะหล่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ จะเป็นวันศุกร์ขึ้น ๙ ค่ำ จะหล่อที่ "บ้านเติมบุญ" ซึ่งอาตมาไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานแห่งใหม่ ผู้ติดต่อบอกว่าอยู่แถวสถานีรถไฟฟ้าบางรักใหญ่ เป็นบ้านหลังไม่ใหญ่หรอก บ้านทั้งหลังใส่มาในห้องโถงของบ้านวิริยบารมีนี้แล้ว ก็ยังใส่ได้อีกครึ่งหลัง ...(หัวเราะ)... ต่อไปคงต้องแบ่งโซนขายตั๋ว ใครอยากนั่งใกล้ ๆ ต้องซื้อตั๋วแพงหน่อย ลักษณะคล้าย ๆ กับสมัยอยู่บ้านอนุสาวรีย์ฯ ที่แคบพวกเราก็ไม่นั่งแช่กัน พอมีที่กว้าง ๆ ก็นั่งแช่กันได้ทั้งวัน ถ้าเซ็นสัญญา ตั้งแต่ตุลาคม-พฤศจิกายน-ธันวาคม ๒๕๕๙ ช่วงสามเดือนนี้เป็นช่วงที่เขาปรับปรุงบ้านใหม่ ย้ายข้าวของบางส่วนจากที่นี่ไป ส่วนที่เหลือของบ้านหลังนี้ก็รอหลวงพ่อรูปใหม่ท่านมาดูแลแทน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมทำใจรับน้ำท่วมเอาไว้หรือยัง ? อาตมาเจอประสบการณ์โหดเรื่องน้ำท่วมปี ๒๕๒๖ ปีนั้นน้ำท่วมที่บ้าน ๘ เดือน ตอนนั้นอาตมาอยู่ที่ซอยอ่อนนุช ๖๖ ชื่อเดิมคือ ซอยโมราวรรณ ๒ ตอนนั้นถนนศรีนครินทร์เพิ่งตัดใหม่ ยังไม่ได้ราดคอนกรีต ยังเป็นถนนลูกรังอยู่ กทม.จัดแจงกั้นกระสอบทรายตรงนั้น ห่างจากบ้านอาตมาแค่ป้ายรถเมล์เดียว แล้วก็สูบน้ำจากข้างในเทออกมา น้ำที่บ้านของอาตมาน่าจะสูงเกือบถึงเอว
ช่วงนั้นทำงานอะไรไม่ได้เลย จึงต่อเรือแล้วรับคนในซอยไปส่งข้างนอก คนละ ๑๐ บาท ใครไม่อยากเปียกก็ขึ้นเรือไป รถที่วิ่งอยู่ก็มีแต่รถ GMC ของทหารและรถเมล์ เพราะคันใหญ่สูงพ้นระดับน้ำ น้ำท่วมอยู่อย่างนั้น ๘ เดือน ตอนแรกอาตมาก็พยายามกั้นบ้านด้วยอิฐบล็อก อิฐบล็อกขึ้นราคาจากก้อนละ ๖ สลึง เป็น ๑๐ สลึง เป็น ๒ บาท เป็น ๓ บาท เป็น ๔ บาท เป็น ๖ บาท เป็น ๘ บาท พอถึง ๑๐ บาทก็เลิกซื้อ เพราะเห็นว่าซื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ กั้นอย่างไรน้ำก็สูงกว่าอยู่ดี แต่ที่ก่อไปแล้วก็แล้วไป พอน้ำลดบ้านเลยกลายเป็นบ่อปลา ปลาที่มากับน้ำ เข้ามาในบ้านแล้วออกไม่ได้ ต้องเสียเวลาช้อนไปปล่อยอีก ไม่รู้ว่ากี่ร้อยพันตัว ช่วงนั้นอาตมายังคงไปช่วยงานหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมตามปกติ จำได้ว่าวันนั้นส่งท่านที่บ้านบางโพของคุณฉวีวรรณ สรรพกิจ ตอนนั้นน้ำกำลังเริ่มปริ่ม ๆ บันไดขั้นสุดท้ายของบ้านคุณฉวีวรรณแล้ว อาตมาก็ตั้งใจว่าจะกลับบ้าน แต่น้ำท่วมไม่มีรถวิ่ง จึงต้องเดินจากบางโพ ออกมาทางประดิพัทธ์ สะพานควาย มาอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกไปประตูน้ำ เลาะยาวไปตามถนนสุขุมวิท พอถึงตลาดพระโขนง น้ำถึงหน้าอกแล้ว เห็นรถกับเรือชนกันก็ตรงนั้นแหละ เพราะว่าพอรถใหญ่วิ่งแล้วเรือบังคับตัวเองไม่ได้ โดนคลื่นจากรถกวาดไปชนกับรถคันอื่น" |
"อาตมาจึงต้องเดินจากพระโขนงย้อนกลับมาที่บ้านสายลม ซึ่งชั้นล่างท่วมแล้ว ต้องขึ้นไปนอนบนห้องฝึกมโนมยิทธิชั้นสอง หมายถึงบ้านหลังเก่านะ พวกเราถ้าไม่เคยเจอบ้านหลังเก่า ไปเจอตึกใหม่อย่างเดียวจะนึกไม่ออกว่าน้ำท่วมอย่างไร
ช่วงที่เดินจากประดิพัทธ์มาสะพานควาย เป็นช่วงตึกแถวยาว ๆ อาตมากำลังเลาะข้างตึกอยู่ รถ GMC ทหารก็วิ่งพรวดพราดมา คลื่นสูงท่วมหัวเลย ไม่รู้ว่าจะหลบไปทางไหน พิงติดผนังตึกให้คลื่นโถมตูมเดียวมิดหัว..! เปียกโชกไปทั้งตัวเลย เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ตลอดช่วง ๘ เดือนนั้น จะไปไหนมาไหนถ้าไม่อาศัยเรือก็ต้องอาศัยรถ GMC ของทหาร มีอยู่วันหนึ่งจะไปธุระแถวหน้ารามคำแหง เขาก็บอกว่าน้ำลึกมากอย่าไปเลย อาตมาก็คิดว่า ลึกแค่ไหนก็ไปได้ เดินไม่ได้ก็ว่ายน้ำไป พอลงจากรถเมล์น้ำแค่เข่าเอง ใครบอกว่าลึกมากวะ ? ก็เดินตรงไปเรื่อย ๆ ได้ประมาณ ๕๐ เมตร ตูมเดียวมิดหัวเลย...! ตอนที่ลงจากรถเมล์อาตมาไปยืนอยู่บนคันกระสอบทรายโดยไม่รู้ตัว ก็เลยคิดว่าน้ำลึกแค่เข่า ตอนเดินก็เดินตรงแนวกระสอบทรายไปเรื่อย จึงคิดว่าน้ำตื้นแค่นี้เอง พอพ้นแนวกระสอบทราย ตูมเดียวมิดหัวเลย ฉะนั้น...น้ำท่วมปี ๒๕๕๔ ที่ผ่านมาถือว่าเล็กน้อยเท่านั้น ความจริงปี ๒๕๕๔ น้ำไม่ควรที่จะท่วมเลย แต่ระบบการจัดการของเราผิด ถ้าปล่อยให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ สักตูมเดียว เฉลี่ยไปทั่วกันก็สูงสักศอกเดียวเท่านั้น แล้วก็จะไหลลงทะเลไปเอง ทีนี้เราไปกั้นทางทำให้น้ำลงทะเลไม่ได้ มีแต่คลองเล็กที่ระบายออก น้ำก็อั้นอยู่นาน จากที่ท่วมน้อยก็กลายเป็นท่วมมาก จากท่วมมากจึงกลายเป็นท่วมนาน" |
"นอกจากนี้ที่ปี ๒๕๕๔ น้ำท่วมมากเพราะว่าเขื่อนต่าง ๆ กักน้ำไว้มากจนเอาไม่อยู่แล้ว ก็ปล่อยระบายลงมาพร้อม ๆ กัน แต่พอมาปีนี้ จนป่านนี้ทั้ง ๆ ที่ฝนกระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก เขื่อนภูมิพลก็ยังมีน้ำไม่ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เหตุเพราะว่าปี ๒๕๕๔ เทน้ำออกเกือบหมด ปีนี้ฝนมามากก็รีบระบายทิ้งอีก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ศึกษาหรืออย่างไร ?
เขื่อนภูมิพลถึงแม้จะกั้นแม่น้ำปิงอยู่ก็จริง แต่เขื่อนภูมิพลอยู่ใต้เงาฝน เวลามรสุมมาจะปะทะเทือกเขาถนนธงชัยแล้วเหินข้ามหัวไป เลยไปไกลถึงจะตกลงมาเป็นฝน ก็แปลว่าไปตกทางภาคเหนือค่อนไปทางอีสานแทน ส่วนมรสุมที่เข้าทางอีสานก็มาไม่ถึง เขื่อนภูมิพลถึงต้องใช้เวลากักเก็บน้ำนานหลายปีกว่าจะเต็ม แต่เราไปเททิ้งจนเกลี้ยงเลย ถึงฝนตกขนาดไหนแต่น้ำไม่ค่อยเข้าเขื่อน จึงเพิ่งจะได้น้ำเท่าที่เห็น ฉะนั้น...เรื่องบางอย่างถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้รอบคอบ การบริหารจัดการผิด น้ำท่วมชาวบ้านแทบทั่วประเทศ แต่เขื่อนไม่มีน้ำ...! เป็นเรื่องที่น่าอนาถใจมาก" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดท่าขนุนปัจจุบันนี้อากาศตอนกลางคืนประมาณ ๒๓ องศาเซลเซียส เครื่องปรับอากาศที่คุณเปิดตอนนี้ยังเย็นไม่เท่าเลย ทั้งที่เป็นหน้าฝนแต่กลางวันนี่แดดเปรี้ยงเลย ส่วนตอนกลางคืนหนาว เช้ามืดพระออกบิณฑบาตฝนก็ตก ทดสอบกำลังใจกันดีจริง ๆ...!
พระที่ไปบวชอยู่วัดท่าขนุน ถ้าไม่ได้ตั้งใจเพื่อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ อยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าเจ้าอาวาสบ้า...! ฝนตกแดดออกก็บิณฑบาต ไม่มีการหยุด บางทีฝนกระหน่ำทั้งคืนยาวไปจนกระทั่งพระบิณฑบาตเสร็จ ก็แปลว่าเปียกตั้งแต่เริ่มออกจากวัดยันขากลับ เปียกจนไม่มีอะไรเหลือให้เปียกอีกแล้ว แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งว่า...ไม่ค่อยจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน เพราะว่าเดินบิณฑบาตไกล ระยะทาง ๒ กิโลเมตรกว่า ๆ ไปกลับก็ราว ๆ ๕ กิโลเมตร เท่ากับออกกำลังกายอยู่ทุกวัน จึงแข็งแรง ใครอยากลดความอ้วนให้ไปบวชสัก ๓ พรรษานะ" |
ถาม : ทำฝักใส่มีดหมอจะดีไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำฝักก็ต้องหมั่นเช็ดไว้บ่อย ๆ เพราะว่าสนิมจะขึ้นง่าย จำเอาไว้ว่า ถ้ามีดมีฝักต้องชักเอามาเช็ดบ่อย ๆ เพราะมีฝักแล้วอมความชื้น จะพาเอาสนิมมาง่าย |
พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอว่า "อาตมามีมีดหมอหลวงพ่อกวยให้เขารู้ว่าของเราเป็นของแท้ เพราะว่าถ้าปลอม จะปลอมไม่ได้มากขนาดนี้หรอก อาตมาคัดส่วนหนึ่งไปไว้ในพิพิธภัณฑ์แล้ว จะเป็นรุ่นหลัง ๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้จัก
อธิบายให้ป้าจี๋ฟังไปเมื่อเช้านี้ว่า ที่เซียนเขาตีว่าเล่มนี้เป็นของหลวงพ่อเดิม ถ้าไม่ได้แกล้งโง่ ก็แสดงว่าเขาไม่รู้จักจริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อกวยใช้คาถาและลายนาคเกี้ยวเหมือนหลวงพ่อเดิม แต่ของหลวงพ่อกวยท่านส่วนใหญ่จะไม่ใส่ "อุ" ที่ปากนาค และตัวคาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ จะมี นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะมะกะอัง กอออของท่านจะตีเป็นออกอ ท่านตีสลับกันตัวเดียว ฉะนั้น...ถ้าเราอ่านไม่ออกก็เสร็จหมด เซียนเห็นมีดหมอหลวงพ่อกวยรุ่นเก่าแบบนี้ก็ตีเป็นของหลวงพ่อเดิมหมด" ถาม : ตีสลับกันอย่างนั้น พุทธคุณจะมีความแตกต่างไหมคะ ? ตอบ : ไม่มี...ท่านแค่ต้องการให้ต่างจากของครูบาอาจารย์ จะได้แยกถูก มีดหมอหลวงพ่อเดิม มีดหมอหลวงพ่อรุ่ง มีดหมอหลวงพ่อกวย ใช้แทนกันได้หมด เพราะมาจากครูบาอาจารย์เดียวกัน ถาม : โฉลกมีดเกี่ยวกันไหมคะ ? ตอบ : อาวุธมงคลไม่เกี่ยวกับโฉลกมีดแล้ว ยิ่งเป็นอาตมายิ่งไม่เกี่ยวใหญ่เลยว่าจะสั้นจะยาวขนาดไหนก็ลงดีได้หมด เคยวัดให้คุณติ๊กดู คุณติ๊กบอกว่า "ขาดไปหน่อยหนึ่งครับ" อาตมาบอกว่า "ไม่ขาดหรอก ดึงออกหน่อยก็ใช้ได้แล้ว" จากนั้นก็ดึงให้ดู ถ้ายาวไปหน่อยก็ดันให้หดลงมาพอดี ...(หัวเราะ)... |
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบทั่วกัน โดยเฉพาะกองทุนลูกพระราชพรหมยาน ที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้วกับอาตมา ช่างเพิ่งจะไปสำรวจพื้นที่และร่างแบบคร่าว ๆ มา จึงแจ้งข่าวดีให้ทราบว่าหน้าตักพระพระพุทธรูปทองคำ จาก ๑๖ นิ้วกลายเป็น ๒๑ นิ้ว ต้องเพิ่มทองคำอีก ๔๐ กิโลกรัม..!
เพิ่งจะมีผู้ตั้งใจถวายทองคำในงานกฐินวัดท่าขนุนปีนี้ เขาปวารณาไว้ว่าขาดร้อยกิโลกรัมเท่าไร เขาจะถวายให้เต็มพอดีซึ่งยังขาดอยู่ ๒๔๐ กว่าบาท พอดีช่างเพิ่งจะไปร่างแบบเมื่อวานซืนนี้ อาตมาเองก็ปีนขึ้นมณฑปไปดูด้วย ช่างเอาโฟมขึ้นไปเกลาข้างบน ร่างให้ขนาดพอดี ได้หน้าตัก ๒๑ นิ้วมาแทน จากที่ตั้งใจไว้ ๑๖ นิ้ว สรุปก็คือฐานใหญ่ขึ้น ถ้าหากขยายขึ้นมา ๕ นิ้วตลอดทั้งองค์ น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ ๔๐ กิโลกรัม เครื่องทรงของพระพุทธรูปทองคำ ท่านอาจารย์สุชาติแนะนำว่า ให้ปั้นเป็นเครื่องทรงติดกับองค์พระ แล้วหล่อทีเดียวไปเลย ท่านบอกว่าถ้าใช้ช่างหลายฝีมือแล้วจะหลอกตากัน หลอกตานี่คือ สายตาช่างมองดูออกว่าคนละฝีมือ เข้ากันไม่ได้ เวลาทำส่วนใหญ่ก็ปั้นหุ่นดินก่อน พอเกลาได้ขนาดแล้วก็ปั้นหุ่นขี้ผึ้ง หลังจากปั้นหุ่นขี้ผึ้งดูเป็นที่พอใจแล้วจะพอกหุ่น แล้วสุมไฟสำรอกขี้ผึ้งออก องค์แรกที่จะหล่ออาตมาตั้งใจว่าเป็นเนื้อนาก มีผู้รู้ท่านบอกว่าให้หล่อองค์เงินก่อน เงิน นาก ทอง จะได้ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ องค์แรกจะหล่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐ หล่อฉลองที่บ้านใหม่เลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมาออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ เมื่อ ๒๔ ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่มีซีดี มีแต่เทป อาตมาเอาเทปไป ๑๒๐ ม้วน ฟังจนยืดหมดทุกม้วน ยืดแล้วแช่ตู้เย็นให้กลับคืนดี ฟังใหม่จนยืดอีก ๓ รอบ แช่แล้วแช่อีกจนไม่คืนสภาพแล้ว
ตอนแรก ๆ พระท่านก็สงสัย เพราะช่วงเช้าที่วัดท่าขนุน พวกเราจะฟังเสียงตามสายและเจริญกรรมฐานไปด้วย ทำไมพระอาจารย์รู้ว่าจะจบตอนไหน ? เตรียมตัวคุกเข่ารอกราบพระได้ทันที ก็เพราะว่าฟังจนจำได้ทุกม้วนแล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "การย้ายไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่บ้านใหม่ จะมีทั้งคนที่สะดวกขึ้นและคนที่ลำบากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถึงญาติโยมจะลำบากแค่ไหน อาตมาเชื่อว่าทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมกัน อย่างไรก็ไกลไม่ถึง ๑๔๐ กิโลเมตร ลองนึกถึงอาตมาลงจากทองผาภูมิมาถึงเมืองกาญจน์ฯ ก็ ๑๔๐ กิโลเมตรแล้ว เพราะฉะนั้น...ถึงญาติโยมลำบากอย่างไรก็คงจะไม่เกินไปกว่าอาตมาหรอก ทน ๆ ไปหน่อยเดี๋ยวก็ชินไปเอง ใหม่ ๆ ก็เป็นอย่างนี้กันทุกคน
อีกอย่างหนึ่ง การย้ายบ้านใหม่เป็นการวัดกำลังใจของพวกเราได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนหนึ่งพอได้ยินว่าย้ายบ้านใหม่ก็โวยวายไว้ก่อน เหมือนอย่างกับว่ารักอาตมาเสียเต็มประดา แต่ความจริงรักตัวเองชัด ๆ...! เราลองมานึกดูว่า แค่ย้ายบ้านใหม่เท่านั้น เราเกิดปฏิกิริยากันขนาดนี้ ถ้าอาตมาล้มหายตายจากไปจะเกิดปฏิกิริยาขนาดไหน ? ก็แปลว่าเรายังไม่สามารถเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ยังไม่ได้ยึด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง หากแต่เรายังยึดตัวบุคคลซึ่งสามารถล้มหายตายจากลงไปได้ทุกเวลา ก็แปลว่ายึดผิด ให้เปลี่ยนกำลังใจเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะไม่มี ให้ยึดคุณพระรัตนตรัย ไม่ใช่ยึดตัวบุคคล ถ้าเราปฏิบัติไปจนกระทั่งมีความมั่นคงในพระรัตนตรัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเราจะเหมือน ๆ กันหมด ไม่มีอะไรยาก ไม่มีอะไรลำบาก สิ่งที่เราทำก็เพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เรารักษาศีลเพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เราปฏิบัติสมาธิเพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เรารู้ตัวว่าว่าเราตายเมื่อไร เราจะไปพระนิพพานเพราะว่าเราเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ใช่เคารพเลื่อมใสเฉพาะในตัวบุคคล การย้ายบ้านอาจจะมีส่วนช่วยพวกเราได้บ้าง ถ้ามีปัญญาเพียงพอ แต่ถ้าปัญญาไม่พอ มัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ก็ตัวใครตัวมัน อาตมาไม่ค่อยรอใครหรอก..!" |
ถาม : ชีวิตผมเวลาจะทำอะไรมักมีอุปสรรคให้ต้องใช้กำลังใจเอาชีวิตเข้าแลกอยู่เสมอ จนก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่มีนิสัยระห่ำเกินคนปกติทั่วไป ไม่สนใจว่าโลกเขาจะมองว่าอย่างไร ทำอะไรในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่กล้าทำกัน จนผมกลายเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่น ๆ จนมาถึงจุดหนึ่งผมมาพิจารณาตัวเองว่า สิ่งที่ผมประพฤติเช่นนี้ทวนกระแสโลกมากเกินไป และผมแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะกำลังใจผมเข้มแข็ง หรือเป็นเพราะอำนาจโทสะพาไป ดีไม่ดีจะพาตัวเองลงนรกไป และการประพฤติตัวแบบนี้ทำให้อยู่ยาก เพราะไม่มีใครคบด้วย จะทำงานใหญ่ลำบาก ผมจึงถอยกำลังใจลงมา และพยายามทำตัวให้ใกล้เคียงคนทั่วไปให้มากที่สุด
แต่กำลังใจก็คอยตีกลับอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างเข้มข้นว่า ผมตัวคนเดียวจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่อล้างผลาญพวกฝ่ายตรงข้ามพระศาสนาให้สิ้น ถึงแม้ว่าผมจะต้องลงนรกเพื่อลากพวกเขาลงนรกไปด้วย เพื่อพระพุทธเจ้าที่เสียสละเพื่อคนอื่น เพื่อพระศาสนาจะคงอยู่ เพื่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่เป็นสัมมาทิฐิ ก็คุ้มที่จะยอมแลก และความรู้สึกของผมไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ คิดแต่ว่าจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ไปเรื่อย ๆ จะไปเข้าพระนิพพานเมื่อไรก็ช่าง ซึ่งค้านกับความเป็นสัมมาทิฐิ ผมลดกำลังใจลงและพยายามหาจุดที่พอดีอยู่ครับ ล่าสุดมานี้พระคุณหลวงพ่อได้เตือนผมว่ากำลังใจของผมห่วยแตก ผมค้นหามาเป็นปีแล้วแต่ก็หาความพอดีไม่ได้ ไม่อ่อนไปก็ล้นเกินไป เวลานี้ที่ผมคิดไว้คือทำตัวตามปกติแบบมนุษย์คนอื่น ๆ แต่ทุ่มเทกำลังใจเวลาปฏิบัติ เหมือนที่เคยบ้าระห่ำเหมือนก่อน ในแต่ละวันทำตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย ซึ่งค่อนข้างสวนทางกันอยู่ แต่ผมจะทำไปเรื่อย ๆ ถ้าไปตรงจุดที่สมดุล ก็จะไปของมันเอง อย่างนี้จะดีไหมครับ ? ตอบ : ทำแล้วถามว่าดีไหม ? เหมือนกินแล้วถามคนอื่นว่าอิ่มไหม ? เอาอย่างนี้..บ้าจริงหรือเปล่า ? เห็นบอกว่ากล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ แก้ผ้าเดินตรงนี้ก็พอ...! ถ้าทำได้จริง ๆ ถึงจะเชื่อ แล้วจะทะลึ่งไปเกิดใหม่เพื่อล้างผลาญฝ่ายตรงข้ามพระพุทธศาสนาทำไม ? ทำชาตินี้เลยก็หมดเรื่อง แสดงว่ายังไม่บ้าจริง การปฏิบัติธรรมของทุกคน ช่วงแรก ๆ เหมือนกับลูกบาศก์สี่เหลี่ยมด้านเท่า หล่นลงไปตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่สนใจว่าจะทับอะไรแหลกเละไปหรือเปล่า แต่พอนานไป สติ สมาธิ ปัญญา มีมากขึ้น ก็จะค่อย ๆ ขัดเกลาตัวเอง เหลี่ยมมุมจะค่อย ๆ ลดลงไป ท้ายสุดก็กลิ้งเป็นลูกบิลเลียดแช่น้ำมันไปเอง เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องกังวล เกิดอีกหลายชาติหน่อย เดี๋ยวก็ดีไปเอง..! |
ถาม : เมื่อเช้าตรู่ของวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาปฏิบัตินั่งสมาธิเป็นเวลา ๓๐ นาที จึงลุกขึ้นออกจากสมาธิเพราะมีอาการเหน็บชา และมีอาการปวดท้องเข้าห้องน้ำ ขณะที่เข้าห้องน้ำก็ทำจิตภาวนา น้อมนำคำสอนของท่านธมฺมวิตกฺโก แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ที่ว่า "ร่างกายเป็นรังของโรค" ก้มมองดูสิ่งปฏิกูลที่ขับถ่ายออกมา จิตยังมีความตั้งมั่นอยู่ในสมาธิพอสมควร แต่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจกองปฏิกูลแต่อย่างใด เห็นร่างกายไม่ใช่เรา เห็นแขนแต่ไม่ใช่เรา เห็นขาแต่ไม่ใช่เรา เห็นสิ่งปฏิกูล (อุจจาระ, ปัสสวะ) ไม่ใช่ของเรา มีความรู้สึกตัวอยู่
เมื่อเสร็จกิจในห้องน้ำ จึงออกมาเดินจงกรมต่อ เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เห็นความเจ็บเกิดขึ้นที่นิ้วโป้งเท้า ความเจ็บนี้เป็นเพียงกอง เป็นส่วนของมัน จิตใจไม่เป็นทุกข์ กระสับกระส่ายกับความเจ็บนี้เลย เห็นมันตั้งอยู่ รู้อยู่ที่ความเจ็บอยู่สักระยะ แล้วผมก็กล่าวเป็นภาษาบาลีโดยทันที อย่างมิได้เจตนาว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ สังขารา อนัตตา" เมื่อพูดจบก็เกิดความปีติขึ้นมา เมื่อความปีติปรากฏขึ้นมาประมาณ ๓ ถึง ๕ วินาที ก็เห็นว่าปีตินั้นเอ่อล้นขึ้นมา จิตรู้เท่าทันอาการ จึงวางความปีติ จิตกลับมีสภาวะสงบตั้งมั่น ไม่ยินดีในความปีติอีกเลย มีความสงบตั้งมั่น มีความเข้าใจในขณะนั้นว่า สิ่งนี้คืออุเบกขารมณ์ จึงก้มกราบพระพุทธเจ้าในเช้าวันนั้นไปหลายครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับมีน้ำตาซึมออกมา จิตใจผมก็นึกสรรเสริญพระพุทธเจ้า อย่างสุดหัวใจ "พระองค์มีพระปรีชาอย่างมาก" จากนั้นก็อาบน้ำ แต่งตัวไปทำงานตามปกติ ด้วยจิตใจที่นิ่มนวลตั้งมั่นทั้งวันเลยครับ จากการปฏิบัติครั้งนี้ การเปล่งวาจาออกเป็นภาษาบาลีออกมานั้นโดยมิได้ตั้งใจ เรียกอาการประเภทนี้ว่าอะไรครับ ? ตอบ : เขาเรียกว่าอุทานธรรม ถาม : การปฏิบัติในครั้งนี้ เข้าถึงฌาณหรือไม่ ? และไปถึงฌาณ ๒ ไหมครับ ? ตอบ : ได้แค่ปีติเท่านั้น ถาม : การปฏิบัติผ่านการวิปัสสนาบ้างไหมครับ ? ตอบ : เกือบจะผ่าน...อารมณ์ใจที่เกิดปีติจะเข้าถึงฌานไม่ได้ จำให้แม่น ๆ อย่ามั่ว...! การที่เราเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นส่วนของวิปัสสนาอยู่แล้ว แต่ต้องพิจารณาทบทวนอย่างจริงจัง ไม่ใช่สักแต่ว่าอุทานออกมา |
ถาม : ช่วงวันพระเข้าพรรษา ถ้าผมจะสมาทานรักษาอุโบสถศีล ๘ สามารถสมาทานเองหน้าหิ้งพระที่บ้านได้หรือเปล่าครับ หรือต้องไปขอสมาทานกับพระที่วัดครับ ?
ตอบ : แยกให้ดีนะ ระหว่างอุโบสถศีลกับศีล ๘ เพราะศีลอุโบสถเขารักษา ๑ วัน กับ ๑ คืน ส่วนศีล ๘ เราจะรักษากี่วันก็ได้แล้วแต่ศรัทธา เพียงแต่ว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาพระ การที่เราไปหาพระ ไปขอศีล เพราะเราไม่รู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง พระท่านให้ศีลแก่เรา เราก็สมาทานคือศึกษาว่า ศีลทั้งหลายเหล่านั้นมีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไร แล้วนำกลับไปปฏิบัติ ในเมื่อเรารู้อยู่ก็ตั้งใจปฏิบัติไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาก็ได้ ถาม : การรักษาศีล ๘ ยังสามารถทำงานที่บ้านได้ตามปกติหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ทำได้ตามปกติ แต่ส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดศีลให้งดเว้นไว้ |
ถาม : ผมได้ให้พระท่านยืมปัจจัยชำระค่าวัตถุมงคล และได้ตกลงกับพระท่าน โดยท่านขอยืมให้ออกปัจจัยชำระค่าวัตถุมงคลหรือค่าสิ่งของให้ก่อน ต่อมาพระท่านได้รับวัตถุมงคลไปแล้ว เราได้ไปไต่ถามถึงปัจจัยที่จะชำระคืน (ขอยืนยันว่าไต่ถามด้วยความสุภาพปกติ นาน ๆ ถามครั้ง) หรือฝากคนดูแลพระท่านไต่ถามถึงปัจจัยที่ยังไม่ได้คืน พอถามท่าน พระท่านบอกว่าเราสร้างกรรมปรามาสรุนแรง คนที่เราฝากไปถามถึงปัจจัยที่ยืมไปก็พลอยติดกรรมปรามาสจากเราด้วย ต่อมาท่านบอกใครมาคุยกับเราก็จะติดกรรมปรามาสจากเราไปด้วย จนสุดท้ายไม่มีใครกล้ามาคุย เรากลัวสร้างกรรมมาก ๆ เลยยอมยกหนี้ให้ด้วยความจำใจ ขอกราบเรียนถามว่ากรณีแบบนี้เรามีกรรมปรามาสรุนแรง รวมถึงคนที่มาคุยกับเราติดกรรมปรามาสจากเราจริงอย่างที่พระท่านบอกไหมครับ ?
ตอบ : ขอตอบว่าโง่มาก...! ลูกหนี้ดันมาข่มขู่เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้เสือ...เชื่ออีกด้วย ต่อไปให้ทวงเช้า ทวงกลางวัน ทวงเย็น ทวงกลางคืน ทวงวันละ ๖-๗ รอบ บอกว่าเราตั้งใจจะปรามาสท่าน แต่ถ้าท่านไม่คืนผมจะทอดธุระ คำว่า "ทอดธุระ" ก็คือ ไม่ทวง ไม่ถาม ถ้าพระยังไม่คืนอีกจะต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย |
ถาม : หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเรายอมรับกฎแห่งกรรม อภิญญาจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผมเลยสงสัยว่าถ้าผมได้อนาคตังสญาณ ผมจะดูอนาคตว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นราคา จะได้ซื้อไว้ หรือไม่ก็ดูว่าหวยงวดหน้าจะออกเลขตัวไหน หรือสมมติว่าผมฝึกกสิณสีเหลืองคล่องตัว แล้วเสกสิ่งของเป็นทอง แล้วไปขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวกับเอาไปสร้างพระ แบบนี้จะเป็นการฝืนกฎแห่งกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปลองทำดู ลองดูว่าเมื่อใช้กิเลสนำหน้า ตัณหานำทาง จะทำได้สำเร็จไหม ? ถาม : บุคคลที่มีอภิญญา ท่านเสกสิ่งของเป็นทองแล้วเอาไปสร้างพระ กับการเอาทองจริง ๆ ไปสร้างพระ ทำอย่างไหนได้บุญมากกว่าครับ ? ตอบ : ขอให้สร้างเป็นพระขึ้นมา ท่านว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การเคารพหรือเสริมสร้างในสิ่งที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือการบูชาท่านนั้น ทำให้มีเดชมีอำนาจมาก ขณะเดียวกันบาลีก็ยืนยันว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ดังนั้น...ไม่ว่าคุณจะเสกขึ้นมาหรือจะหาไปสร้างเองก็ตาม ประมาณอานิสงส์ไม่ได้ทั้งนั้น |
ถาม : ตัวผมยังเรียนมัธยมปลายอยู่ ผมเคยมีความคิดว่า ถ้าอยากรวยแบบทางโลก ต้องเรียนสูง ๆ หลังจากนั้นทำงานที่ได้เงินเดือนสูง ๆ ซึ่งใช้เวลานานมาก กว่าจะเรียนจบแล้วทำงานจนรวย แต่ถ้าเราฝึกอภิญญาสำเร็จ เราสามารถเสกทอง แล้วเอาไปขาย หรือดูอนาคต แล้วไปซื้อหวย เวลาที่ฝึกอภิญญาจนสำเร็จ อาจจะไม่ถึง ๓ ปี ถ้าตั้งใจจริง ๆ หรือถ้าอยากมีความรู้ทางโลก ก็เข้าฌานแล้วท่องคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วจับหนังสือวิชาการ นอกเหนือจากนั้น ถ้าผมตายไป อย่างต่ำไปเป็นพรหม ถ้าฝึกวิปัสสนาอีกได้ไปพระนิพพาน และถ้ายังทรงฌานอยู่ จะได้สุขจากฌานสมาบัติอีก
ผมเลยคิดว่า อยากจะเลิกเรียนแล้วไปบวชเพื่อฝึกอภิญญา สัก ๓ ปี แต่มาคิดดูอีกที ถ้าผมฝึกไม่ได้หรือกำลังใจไม่ถึง เรียนผมก็เรียนยังไม่จบ บวชก็ไม่ได้ตามที่หวังไว้ ผมอาจจะเสียเวลาเปล่า ๆ แต่ก็นึกถึงคำสอนของพระ ที่ท่านกล่าวว่า พระท่านก็มีสิบนิ้ว เราก็มีสิบนิ้วเหมือนกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้ ขอความเห็นและคำแนะนำจากหลวงพ่อได้ไหมครับ ? ตอบ : ความเห็นคือ ฟุ้งซ่านได้เป็นหลักเป็นฐานเป็นการเป็นงานดีมาก ยังโชคดีที่ตอนท้ายตาสว่างขึ้นมานิดหนึ่ง |
ถาม : บางครั้งจิตรู้ก่อนว่า ความฟุ้งจะเกิดขึ้นถ้าเอาความคิดนี้ไปคิด คืออยากทราบว่า คนที่ฝึกจิตมาดี จิตของเขาจะเร็วและไวกว่าความคิด คือรู้ก่อนว่าจะมีความคิดอะไรเข้ามาในจิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่ครับ |
ถาม : ตัวผมอยู่ต่างประเทศแล้วผมไม่ห้อยพระ ช่วงนี้มีเหตุระเบิดที่ต่างประเทศ ผมกลัวว่าผมจะโดนระเบิด หลวงพ่อพอมีคาถาหรือวิธีป้องกันไหมครับ ?
ตอบ : กลับประเทศไทย...! |
ถาม : ผมเคยอ่านประวัติหลวงพ่อกับหลวงพ่อขนมจีน ที่ท่านสงเคราะห์หลวงพ่อด้วยการให้อารมณ์พระอรหันต์กับหลวงพ่อประมาณ ๓ เดือน ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ ผมเลยสงสัยว่า ถ้าสมมติมีพระที่มีความสามารถแบบหลวงพ่อขนมจีน แล้วผมไปขออารมณ์พระอรหันต์จากท่าน แล้วท่านเมตตาให้ผม แต่ระยะเวลาของอารมณ์ ผมขอให้อยู่นานจนถึงผมเสียชีวิต อยากทราบว่าถ้าผมตายตอนนั้น ผมได้ไปพระนิพพานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปลองขอดู เดี๋ยวก็รู้เอง |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.