กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5267)

เถรี 25-10-2016 13:35

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๙
 
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม จะจับการกระทบของลมจุดเดียว ๓ จุด ๕ จุด ๗ จุด หรือว่ารู้ตลอดกองลมก็ได้

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ จากคำถามที่ได้ถามช่วงก่อนเจริญกรรมฐานทำให้เห็นว่า บางท่านนั้นไปเลือกแนวทางการปฏิบัติที่เป็นทุกขาปฏิปทา คือปฏิบัติยากลำบาก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับพวกเราส่วนใหญ่

ในส่วนของการปฏิบัติธรรมนั้น เป้าหมายของเราคือความหลุดพ้นจากกองทุกข์ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ไว้ว่า มีมรรค คือ หนทาง ๘ ประการ ซึ่งเริ่มจากสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ คือการมีความเห็นชอบ การมีความดำริชอบ ซึ่งจัดอยู่ในส่วนของปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดอยู่ในส่วนของศีล สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดอยู่ในส่วนของสมาธิ แปลว่าเราปฏิบัติใน ปัญญา ศีล และสมาธิ จึงจะถูกต้องตามหลักที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้

คราวนี้ในการปฏิบัติของเรานั้น ในศีลที่เราปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างไร ? ก็คือรักษาศีลตามเพศภาวะของตน อย่างเช่น ฆราวาสรักษาศีล ๕ อุบาสกอุบาสิการักษาศีล ๘ สามเณรรักษาศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์รักษาศีล ๒๒๗ แต่มีข้อแม้ว่าเราต้องไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ให้เราทบทวนเอาไว้ทุกวัน ทั้งก่อนนอนและตื่นนอนว่า มีศีลสิกขาบทใดของเราที่ขาดตกบกพร่องบ้าง ถ้ามีอยู่ก็ให้ตั้งใจว่า ในวันนี้เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกข้อ

เถรี 25-10-2016 13:38

ในส่วนของสมาธินั้น ก็คือเราอยู่กับลมหายใจเข้าออก ได้แก่ อานาปานสติเป็นหลัก พยายามที่จะกำหนดรู้ลม จนกระทั่งทรงฌานอย่างน้อยปฐมฌานได้ จึงจะเรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ ในขณะเดียวกัน ก็ให้สมาธิจิตของเราเป็นไปใน พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ในส่วนของปัญญานั้น เมื่อเราพินิจพิจารณาหรือว่าภาวนาจนสมาธิทรงตัวเต็มที่แล้ว เมื่อสมาธิจะคลายตัวออกมา ให้เรารีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด ไม่เช่นนั้นแล้วสภาพจิตของเราจะเอากำลังสมาธิที่ได้ ไปฟุ้งซ่านไปในด้านของ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะทำให้การฟุ้งซ่านเป็นไปอย่างหนักแน่น เป็นหลักเป็นฐานเป็นการเป็นงาน จนเราเอาคืนไม่ได้ เพราะว่าสมาธิที่เราได้ กลายเป็นมิจฉาสมาธิ คือ นำไปใช้ในทางที่ผิดเสียแล้ว

ดังนั้น...พอภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่ สมาธิเริ่มเคลื่อนเริ่มคลายออกมา เราก็หาวิปัสสนาญาณให้จิตของเราคิด ถ้าเอาง่าย ๆ ก็คือ ให้ดูทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ มีลักษณะปกติธรรมดา ๓ อย่างด้วยกัน ได้แก่ ความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ความเป็นทุกข์ ก็คือต้องทนอยู่สภาพอย่างนั้น มีทั้งทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

และดูให้เห็นชัดเจนว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ของวัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้อาศัยอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

เถรี 26-10-2016 16:54

ถ้าเราพินิจพิจารณาจนเห็นจริงดังนี้ ก็จะเห็นความไร้สาระ ความไม่มีแก่นสารในสภาพของการเกิดมามีร่างกายนี้ เห็นความเป็นทุกข์ ความไม่มีแก่นสารของการเกิดมาในโลกนี้ ก็ให้เอาจิตสุดท้ายของเราเกาะอยู่ในอุปสมานุสติหรือว่าพุทธานุสติ คือเกาะพระนิพพานหรือว่าเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ โดยที่ทำความรู้สึกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากที่พระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

ทุกวันให้เราทบทวนอารมณ์ใจของเราใน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่า อย่าเบื่ออย่าหน่ายเป็นอันขาด ถ้าหากว่ากำลังของเราสะสมเพียงพอ สภาพจิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ล่วงพ้นจากความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายตนเองและผู้อื่น ปลดออกจากความอยากที่จะบังเกิดในโลกนี้ เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:55


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว