กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=18)
-   -   เกาะพระฤๅษี (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=857)

เถรี 15-08-2009 03:22

เกาะพระฤๅษี
 
ความจริงเนื้อที่วัดมีถึง ๔๐ ไร่เศษ แต่ด้วยความเกรงใจป่าไม้ อาตมาเลยรับไว้แค่บริเวณที่มีน้ำล้อมรอบเท่านั้น แม้ว่าพื้นที่มีไม่มาก ถ้าญาติโยมมาไม่เกิน ๓๐๐ คน น่าจะมีพื้นที่เพียงพอที่จะพักได้

เมื่ออาตมามาอยู่ที่นี่ได้ ๒ วัน คือ วันที่ ๗-๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ พอวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ หลังทำวัตรเย็น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็มานั่งไขว่ห้าง เคี้ยวหมาก อาตมาก็กราบท่าน ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านเป็นห่วงญาติโยมที่มา ท่านบอกว่า "สร้างศาลาไว้สักหลังสิ คนมาจะได้มีที่หลบแดดหลบฝนบ้าง" ก็กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "ถ้าหากคนมาก็ต้องมีส้วมด้วย" หลวงพ่อก็บอกว่า "ข้าก็กำลังจะบอกให้แกทำอยู่" อาตมาได้ยินแล้วเห็นชะตากรรมตัวเอง เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้รับคำสั่งครั้งแรก ให้สร้างเพิงหมาแหงนสำหรับพระพุทธชินราช ปัจจุบันกลายเป็นวิหาร ๑๐๐ เมตร..!

อาตมาก็กราบเรียนว่า "จะให้ผมทำอะไรบ้างก็บอกมาเลยครับ ผมขี้เกียจถามบ่อย ๆ" หลวงพ่อก็เลยบอกมาเป็นอาคารทั้งหมด ๑๓ หลังด้วยกัน โยมไปเดินดูด้านใน อันไหนที่เป็นคอนกรีตลักษณะคล้าย ๆ ตึก นั่นละใช่เลย อันนั้นรุ่นแรก อาคารทั้ง ๑๓ หลังนั้น มีอยู่หลังหนึ่งที่ใช้แทนโบสถ์

กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "ผมเองไม่ชอบขอเงินใคร ถ้าให้ต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวจะไม่ทำ" อันนี้ถือว่าท้าทายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "แกจะเอาอย่างนั้นแน่นะ" บอกว่า "แน่ครับ" ในเมื่อยืนยันความตั้งใจ ท่านก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ได้" แล้วท่านก็ไป

อาตมาเองก็นึกว่าสบายแล้ว ปรากฏว่าพอถัดจากนั้นประมาณ ๒ อาทิตย์ ท่านหัวหน้าหน่วยปรับปรุงต้นน้ำผาตาด (สมัยนั้นยังใช้ชื่อนี้อยู่) ท่านก็พาเพื่อนมาเยี่ยม เพื่อนของท่านมาก็เดิน ดูจนรอบ บอกว่า "หลวงพี่ครับที่สวยดีครับ" บอก "เออ สวย" "แล้วหลวงพี่จะไม่สร้างอะไรสักหน่อยหรือครับ" บอกว่า "อยากสร้างศาลาสักหลังแต่ยังไม่มีเงินว่ะ"

แล้วเขาก็หายไปประมาณสองชั่วโมง ปรากฏว่าเอาแบบศาลามาให้ ที่แท้แกไปนั่งเขียน บอกว่า "ขนาดนี้เป็นอย่างไรครับ" (ศาลากว้าง ๖ เมตร ยาว ๒๐ เมตร) ก็เรียนท่านไปว่า "ก็ดีแต่ไม่มีเงิน"

บุคคลท่านนั้นก็คือนายช่างพนม สุธาพจน์ ท่านมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ บอกว่า "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำให้ก่อน" ว่าแล้วก็ขนคน ขนวัสดุมาบรรเลงเลย อาตมาก็นั่งเกาหัว คนอย่างนี้ก็มีด้วย ไม่มีเงินก็ยังจะทำ พอญาติโยมเห็นเข้า "อ้าว ท่านก่อสร้างนี่นา" ก็เลยรวม ๆ กัน ถวายปัจจัยมา เพียงพอกับการก่อสร้างจริง ๆ จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า แม้จะไม่ขอเขาสักบาทเดียวแต่ก็สร้างได้จริง ๆ

แต่อาตมาก็ยังขี้โกง เพราะว่าหลวงพ่อท่านให้สร้างแม้กระทั่งอาคารที่ใช้แทนโบสถ์ อาตมากลัวว่าจะไม่มีเงิน พอถึงเวลาช่างถามว่าจะสร้างศาลาตรงไหน อาตมาจึงปักแนวเขต กินมาประมาณครึ่งพื้นที่โบสถ์ จะได้ไม่ต้องสร้าง แล้วอาตมาก็เข้ากรุงเทพฯ ไปรับสังฆทาน พอกลับมา ช่างขุดตรงที่พระท่านชี้เป๊ะเลยทุกที่..!

อาตมารู้สึกฟิวส์ขาด สั่งอย่างทำอีกอย่าง ตั้งใจจะไปด่าเขา ถามว่าใครใช้ให้เอ็งขุดตรงนี้วะ เขาบอกว่า "ก็อาจารย์ปักไม้ไว้ตรงนั้นนี่ครับ ผมขุดตามรอยไม้ปักทุกที่เลย" แล้วตอนนั้นเราวัดอย่างไรวะ เลยขึ้นมา ๖ เมตร นี่เป็นเรื่องที่หนึ่ง

เถรี 15-08-2009 04:19

เรื่องที่สองก็คือ ถ้าญาติโยมเห็น จะมีหมู่กุฏิ ๕ หลังเรียงเป็นแถวอยู่ กุฏิจะกว้าง ๓ เมตร ยาว ๕ เมตร ปรากฏว่า ๕ หลังจะใช้พื้นที่ส่วนกว้าง ๒๕ เมตร แต่อาตมาวัดหัวจนติดท้ายห้วยแล้วมีแค่ ๒๓ เมตร อย่างไรก็ไม่พอสร้างแน่นอน ก็คิดว่าเอาแค่ได้ ๔ หลังก็พอ ก็ให้ช่างตีแบบไล่ไป ปรากฏว่าพอถึงหลังที่ ๕ แล้วยังเหลือพื้นที่อีกราว ๆ ๕ เมตร ไม่รู้ว่าพื้นที่งอกมาจากไหน สามารถลงในจุดพื้นที่ได้จริง ๆ

เถรี 15-08-2009 10:29

เรื่องที่สามก็คือ เรื่องของแท็งก์น้ำ โยมจะเห็นว่าที่นี่มีแท็งก์แชมเปญอยู่ ๑ ใบ แท็งก์น้ำใบนี้อาตมาสั่งช่างที่ท่าม่วงมาทำ ผู้จัดการมาดูสถานที่แล้วบอกว่า "อาจารย์ครับ สะพานของอาจารย์ไม่แข็งแรงพอ ผมเอารถเครนเข้ามาไม่ได้" เพราะว่าตอนนั้นอาตมาทำสะพานด้วยไม้ ก็ถามว่า "แล้วจะทำอย่างไร" เขาก็บอกว่า "อาจารย์ตั้งแท็งก์น้ำอยู่ที่หัวสะพานด้านนอกได้ไหมครับ ผมจะได้เอารถเครนมาตั้งให้ได้" ก็บอกว่า "ถ้าจะตั้งด้านนอก แกจะต้องเพิ่มความสูงให้ข้าอีก ๓ เมตรเป็นอย่างน้อย เพื่อจะได้เพิ่มแรงดันน้ำ แล้วความสูงที่เพิ่มเข้ามาห้ามคิดเงินเด็ดขาด" ช่างเขาก็ตกลง

ปรากฏว่าวันที่จะสร้างแท็งก์จริง ๆ ผู้จัดการไม่ได้มา ให้แต่ลูกน้องมา ๓ คน มาถึงก็ "อาจารย์ครับจะให้ผมตั้งแท็งก์ตรงไหน" ก็ชี้ตรงสะพาน (ปัจจุบันนี้จะเป็นที่ราบกว้าง ๆ อยู่ ประมาณ ๔x๔ ตารางเมตร) ช่างเขาถามว่า "อาจารย์ใช้น้ำตรงจุดไหนมากที่สุดครับ" ก็ชี้ให้เขาดูแนวที่จะสร้างห้องน้ำทั้งสองแนว เขาก็เลยบอกว่า "แล้วทำไมอาจารย์ไม่ตั้งตรงจุดนี้ละครับ" จุดนี้ของเขาก็คือจุดที่พระท่านชี้เป๊ะเลย..! ก็บอกว่า "เคยอยากตั้งตรงนั้นแหละ แต่เจ้านายเอ็งบอกเอารถเข้ามาไม่ได้" ช่างเขาบอกว่า "เอาตรงนี้ดีกว่าครับ เพราะว่าใกล้ห้องน้ำทั้งสองส่วน ถ้าหากรถเครนเข้าไม่ได้ ผมจะเอารอกสามขามาตั้งให้" ว่าแล้วเขาก็ทำเลยโดยไม่สนใจว่าเราจะตกลงหรือไม่ตกลง

สรุปว่าของทุกชิ้นที่สร้างขึ้นที่นี่ ไม่สามารถย้ายของท่านได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เบี้ยวอย่างไรก็ต้องทำจนครบ ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด ๑๓ เดือน สำหรับอาคารทั้ง ๑๓ หลัง เสร็จสรรพเรียบร้อยอาตมาก็นอนตีพุง

ปรากฏว่าไม่ได้นอนตีพุง วัดอื่นเขาเห็นเราทำได้ เขาก็เอาบ้าง วัดนั้นก็มาขอให้ช่วย วัดนี้ก็มาขอให้ช่วย ช่วง ๙ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ - ๒๕๔๔ อาตมาต้องทำทั้งในประเทศและนอกประเทศ รวมทั้งสถานที่นี้ ๗ วัดด้วยกัน มีอยู่ ๓ วัด ที่มีพื้นที่เปล่า ๆ อยู่ ก็คิดว่าเหนื่อยเต็มทีควรพอได้แล้ว

เถรี 15-08-2009 12:25

ปรากฏว่าปี ๒๕๔๔ ก่อนเข้าพรรษา พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชธรรมโสภณ รักษาการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในขณะนั้น ท่านมาบวชพระให้ที่วัดท่าขนุน อาตมาก็เป็นพระคู่สวด ท่านก็บอกอาตมาให้มาช่วยพัฒนาวัดท่าขนุนให้หน่อย เพราะว่าวัดท่าขนุนขณะนั้นเสนาสนะหลายอย่างอยู่ในสภาพที่เริ่มชำรุดแล้ว อาตมาก็ไปทำให้

จากวัดท่าขนุนก็ไปทำต่อที่วัดทองผาภูมิ แล้วก็ไปวัดท่ามะขาม ปรากฏว่าไปป่วยหนักที่วัดท่ามะขาม กลับมารักษาตัวที่เกาะพระฤๅษี ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่เฉย ๆ ประกอบกับช่วงที่ไม่อยู่ ๓-๔ ปี พระท่านเบี่ยงทางน้ำไม่เป็น ถึงเวลาก็ปล่อยน้ำเซาะเสียเต็มที่เลย ก็กินพื้นที่เกาะมากขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายสุดเกือบจะถึงตัวอาคารอยู่แล้ว อาตมาจึงต้องสร้างเขื่อนกั้นรอบเกาะ ในเมื่อทำเขื่อนขึ้นมาแล้วเห็นว่าสันเขื่อนกว้าง เพราะว่าอาตมาทำสันเขื่อนเท่าพื้นเดิมที่โดนน้ำเซาะไป เมื่อเห็นพื้นที่เหลือมาก จึงเอาอาคารไม้มาตั้งไว้ รวม ๆ แล้วทั้งใหญ่และเล็กก็สิบกว่าหลังด้วยกัน

สร้างเสร็จตั้งใจว่าคราวนี้จะนอนกระดิกเท้าแล้ว ไม่ทำอะไรอีกแล้ว ได้ ๒ วันเหมือนเดิม อาตมาอยากให้โยมสังเกตว่า อาตมาเป็นคนมีเวลาพักยาวมาก ทุกครั้งจะได้พัก ๒ วันไม่เคยได้เกินนั้นเลย..! พอวันที่ ๓ ท่านอาจารย์สมพงษ์ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนก็สึก บรรดาแม่ชีก็แห่กันมา บอกว่าหลวงพ่อช่วยไปเป็นเจ้าอาวาสทีเถอะ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อก็ไม่เอาใครแล้ว เพราะว่าวัดท่าขนุนหลวงพ่อก็เคยมาสร้างไว้ตั้งเยอะแยะ เมื่อเป็นดังนั้น อาตมาก็ต้องโยกย้ายไปอยู่ที่วัดท่าขนุน และได้เริ่มปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายมาจนบัดนี้

ความจริงแล้วงานนี้น่าจะจัดที่วัดท่าขนุนเพื่อความสะดวกของญาติโยมทั้งหลาย แต่การทำบุญให้พ่อให้แม่นั้นอาตมาถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ในเมื่อเป็นเรื่องส่วนตัว ก็ทำในที่ส่วนตัวของเราดีกว่า แล้วอีกอย่างหนึ่งก็อยากให้ญาติโยมทั้งหลายได้เห็นด้วยว่า จากที่ไม่ได้มาแค่ไม่กี่ปีในความรู้สึกของพวกเรา อย่างที่ครูบาสง่าท่านว่า ดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

เถรี 15-08-2009 20:41

ศาลาใหญ่หลังนี้ความจริงไม่ได้คิดจะทำ แรก ๆ การจัดอบรมความรู้ต่าง ๆ ของทางด้านหน่วยป่าไม้นั้น ใช้หอฉันเป็นที่จัด ถ้าหากคนอยู่ในราว ๆ ๔๐ คน จะพอดี ปรากฏว่าพอจัดแล้วมีผลดี ทางกรมป่าไม้ในยุคนั้นจึงได้เพิ่มงบประมาณมาให้อีก ก็จัดอยู่ในระดับ ๖๐-๘๐ คน ต้องย้ายขึ้นไปบนศาลา พองบประมาณมาถึงระดับ ๑๐๐-๑๒๐ คน ศาลาไม่พอใช้แล้ว เพราะว่าต้องทิ้งพื้นที่ให้วิทยากรและบรรดาคณะนันทนาการต่าง ๆ ได้ใช้พื้นที่ด้วย เมื่อเป็นดังนั้นอาตมาจึงไปสร้างหอประชุมกาญจนาภิเษกอยู่ด้านนอก เมื่อสร้างแล้วจึงเห็นว่าจะใช้ประโยชน์ได้น้อย จึงเอาห้องพักใส่เข้าไปด้วย ๑๒ ห้อง ใช้เป็นที่พักที่อบรมด้วยกันอยู่หลายปี

พอมาประมาณปลายปี ๒๕๔๙ หัวหน้าประเดิมชัยมาบอกว่า "พื้นที่มันไม่พอใช้แล้วครับ" ก็บอกว่าความจริงอาตมาอยากได้ศาลาใหญ่สักหลังหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าเวลาญาติโยมมาทำบุญกฐิน รู้สึกว่าพื้นที่หอประชุมกาญจนาภิเษกคับแคบไป ตั้งใจจะขอพื้นที่ซึ่งมีลักษณะเป็นคุ้ง ก็คือเกือบ ๆ จะเป็นเกาะ มีส่วนที่เชื่อมกันอยู่ประมาณ ๑ เมตรเท่านั้น นอกนั้นน้ำล้อมรอบหมด ตั้งใจว่าจะสร้างตรงนั้น

หัวหน้าท่านบอกว่า "การทำอะไรในส่วนที่เป็นเกาะ รถที่ขนวัสดุมันจะเข้ายาก ทำไมไม่ทำริมถนนเล่าครับ" ก็ถามว่า "ริมถนนตรงไหนละ" หัวหน้าท่านก็ชี้มาด้านนี้ อาตมาบอกว่า "เฮ้ย ไม่ได้ ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า ขืนไปแตะก็ติดคุกหัวโต" หัวหน้าท่านบอกว่า "ไม่ใช่ครับ ป่าเฉลิมพระเกียรติมันอยู่ตรงนี้" มันเหลือที่ให้หน่อยเดียว อาตมาก็เลยใช้เวลาประมาณ ๖ เดือนสร้างศาลาหลังนี้ขึ้นมา

อย่างว่าสร้างเสร็จได้ ๒ วันก็ต้องไปอยู่ที่ท่าขนุน ดังนั้นที่มาที่ไปของศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีหรือสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษีนั้น ก็มีความเป็นไปจากที่ว่าอาตมาเหนื่อยจากงานวัดท่าซุง ตั้งใจจะมาพักผ่อน ปรากฏว่าได้พัก ๒ วันเท่านั้น เมื่อได้พัก ๒ วัน ก็มาสร้างเท่าที่เห็น ถือว่าเป็น ๑ ใน ๗ วัดที่ตนเองได้สร้างไป

ทำให้คนได้เห็นว่าลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ตามก็จะเป็นที่พึ่งของชาวบ้านตลอดจนภิกษุสามเณรในที่นั้น และขึ้นชื่อว่าลูกศิษย์หลวงพ่อถ้าจะทำอะไร จะทำได้เสมอ เพราะส่วนใหญ่แล้วหลวงพ่อท่านอบรมว่า อย่าคิดว่าเป็นงานของเรา ให้คิดอยู่เสมอว่าเป็นงานของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าพระท่านบอกให้ทำอะไรแล้วเราทำตามนั้น ทุกอย่างจะสะดวกและคล่องตัว ถ้าสิ่งไหนท่านไม่ได้สั่งอย่าทำ อาตมาถือตามคำสั่งนี้มาตลอด

เถรี 16-08-2009 08:38

จริง ๆ ก็ต้องขอเจริญพรและอนุโมทนาต่อญาติโยมทุก ๆ ท่าน ทั้งที่ให้การสนับสนุนมาตั้งแต่แรกเริ่มและท่านที่มาทีหลัง แต่ว่ามีกำลังใจที่จะให้การสนับสนุนต่อการสร้างประโยชน์ต่าง ๆ ในบวรพุทธศาสนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยกำลังใจที่สูงมาก ๆ เนื่องจากทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายเราหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก แต่ว่ายังสละมาเพื่อที่จะก่อสร้างถาวรวัตถุ และสร้างความเจริญพระพุทธศาสนาในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ต้องอาศัยกำลังใจเป็นอย่างสูง เมื่อเป็นดังนั้นแสดงออกให้เห็นซึ่งกำลังใจของพวกเรา ว่าเป็นผู้ที่พร้อมด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา

ความพร้อมสมบูรณ์ในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา ถ้าหากปรารถนาพระนิพพานก็สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้โดยง่าย แม้ว่าตราบใดที่ยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใดก็ตาม ผลของทานถ้าเกิดมาชาติใหม่จะมีความร่ำรวยในทุกชาติ ผลของการรักษาศีลจะทำให้เกิดใหม่ มีรูปร่างหน้าตาสวยงามทุกชาติ ผลของการเจริญภาวนาจะทำให้ท่านทั้งหลายเกิดมามีความเฉลียวฉลาดทุกชาติ ดังนั้นว่าในเรื่องของทาน ศีล ภาวนา ท่านทั้งหลายจะกระทำก็ควรทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในสามสถาน เพราะไม่เช่นนั้นขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปก็จะทำให้บกพร่องไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างเช่นว่าเกิดมารวยแต่ไม่มีปัญญา อาจจะรักษาทรัพย์ไว้ไม่ได้ เกิดมาสวยงามแต่ว่าเงินทองไม่มี ก็จะได้รับความข้องขัดในการดำเนินชีวิต เกิดมาเฉลียวฉลาดแต่หน้าตาไม่ดี คนก็ไม่ให้ความสนใจเหล่านี้ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำทั้งหลาย ไม่ว่าจะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาในความร่ำรวย ในความมีรูปสวยงามมีจิตใจดีงาม ในความเฉลียวฉลาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านอย่างแน่นอน เมื่อเป็นดังนั้นท่านทั้งหลายก็ควรจะมีอธิษฐานคือ ความตั้งใจว่า สิ่งที่เราทำนั้น เราปรารถนาสิ่งใด

ถ้าเป็นตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนไว้ ท่านบอกว่าให้อธิษฐานปรารถนาพระนิพพานไว้ พระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด เหมือนกับเป็นยอดเขา ถ้าหากเราเดินถึงยอดเขาตลอดเส้นทางมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งพบพาน เราก็สามารถจะเก็บจะกวาดไปได้ตลอดเส้นทางนั้น ดังนั้นคนจะหวังนิพพานอย่างอื่นก็จะได้สมบูรณ์พร้อมไปในตัวอยู่แล้ว ยกเว้นว่าท่านใดคิดจะเกิดใหม่แน่ ๆ จะอธิษฐานอะไรเผื่อไว้ก่อน อันนั้นก็แล้วแต่กำลังใจของเรา

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ในงานทำบุญวันแม่ ที่เกาะพระฤๅษี
วันพุธที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:25


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว