กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   อีหรอบเดียวกัน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=61)
-   -   อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5632)

สุธรรม 01-06-2017 03:23

อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๘
 
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496262049
ซ่อมก๊อกน้ำโดยไม่มีเครื่องมือแล้ว

วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


ตื่นขึ้นมาด้วยอาการคัดจมูก หยิบกล้องถ่ายรูปมาเปิดดูเวลา เห็นว่าตีสองครึ่งพอดี หลวงพ่อพระครูเรืองยังหลับสนิทไม่มีกรน แต่อาตมาเองที่จมูกตันกลับหายใจดังกว่าคนกรนอีก มีเสียงน้ำไหลเพราะปิดก๊อกไม่สนิท จึงลุกไปดูในห้องน้ำ...

พอเปิดไฟก็เห็นน้ำประปาไหลอยู่ อาตมารีบปิดแต่หัวก๊อกฝืดมาก และเผยออยู่ครึ่งหนึ่ง สงสัยว่าหลวงพ่อพระครูเรืองจะเปิดแรงไป เลยงัดหัวก๊อกหลุดออกมา แล้วยัดกลับเข้าไปไม่สำเร็จ จึงต้องปล่อยให้น้ำไหลอยู่อย่างนั้น..!

อาศัยแรงควายที่มีมากกว่าชาวบ้านเขา กดหัวก๊อกเข้าที่แล้วลองปิดเปิดดู แม้ว่าจะฝืดอยู่บ้างแต่ก็ปิดได้สนิท เสร็จแล้วไปปัสสาวะ บรื๋อวววส์...โถชักโครกเย็นจนไม่อยากจะนั่งเลย ที่ประเทศญี่ปุ่นเขามีระบบการอุ่นโถชักโครกก่อนก็ด้วยเหตุนี้นี่เอง...

สุธรรม 01-06-2017 13:20

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496297849
ใครก็ได้ช่วยบอกที..หน้าต่างเป็นแบบนี้เรียกว่าพังได้ไหม ?

ปุ่มกดน้ำของโรงแรมนี้อยู่บนถังชักโครกเลย ไม่ได้ติดผนังเหมือนกับที่อื่น ๆ แต่ก็ยังเป็นปุ่มสี่เหลี่ยม ใหญ่ประมาณครึ่งฝ่ามืออยู่ดี น้ำก็แรงเหลือใจเหมือนกันทุกที่ ไม่มีระบบประหยัดน้ำเหมือนของบ้านเรา คงกลัวว่าจะราดไม่สะอาดกระมัง ?

เปิดน้ำร้อนจากก๊อกซดเข้าไปสองแก้ว แล้วมาเปิดไฟเปิดโน้ตบุ๊กทำงาน พื้นโต๊ะที่เป็นกระจกเย็นจนสะดุ้ง ขณะที่รอการเตรียมระบบของเครื่องอยู่ อาตมาจึงรูดม่านออกเพื่อจะเปิดหน้าต่างทดลองอุณหภูมิภายนอกดู แล้วก็เห็นว่าหน้าต่างเปิดเอนอยู่หน่อยหนึ่ง อากาศข้างนอกไหลเข้ามาได้เต็มที่ ทำให้อุณหภูมิในห้องกับข้างนอกเท่ากัน มิน่าล่ะ..ถึงได้เย็นมากจนขนาดนี้...

งานนี้ตูเจอห้องพังเข้าแล้วกระมัง ? ลองดันกลับเข้าที่ก็ปิดได้สนิทดี แต่เมื่อลองเปิดใหม่ก็ง้างเอนออกมาหน่อยหนึ่งเหมือนเดิม เออ..แปลกดีเว้ย..ใครช่างคิดระบบเปิดหน้าต่างแบบนี้กันวะ ? แทนที่จะดันเปิดขึ้นข้างบน กลับง้างเอนจากข้างบนเข้ามาด้านใน ค่อนข้างแน่ใจว่าหน้าต่างพัง แต่ในเมื่อยังปิดได้เหมือนปกติ อาตมาจึงไม่สนใจ เข้ารหัสเปิดเครื่องโน้ตบุ๊กแล้วทำงานไปตามปกติ...

สุธรรม 02-06-2017 03:29

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496348729
ถ่ายรูปอยู่คนเดียวกลางดึก..!

มีเสียงดนตรีและเสียงร้องเพลงดังมาจากที่ไม่ไกล จะตีสามอยู่แล้วใครช่างมีดนตรีในหัวใจ แถมยังเผื่อแผ่คนอื่นจนเต็มที่แบบนี้ ไหนว่าฝรั่งเขารักษาสิทธิส่วนตัวกันมาก ? เสียงดังแบบนี้เขากลับเฉย ๆ หรือทุกคนชอบเหมือน ๆ กันก็ไม่รู้ ?

เสียงรถยนต์และรถไฟก็ดังมาก สักพักก็มีเสียง "ต๊ายแหน่..ต๊ายแหน่.." ดังมาอีกด้วย ตามมาด้วยเสียงตะโกน "โจ..โจ.." สงสัยว่าจะเรียกเพื่อน อาตมารูดม่านเปิดออกทั้งหมด เพื่อจะดูว่าหน้าต่างพังจริงหรือเปล่า ? จะได้ปิดให้หมดเรื่องไป แล้วก็เห็นว่ามีกุญแจล็อกอยู่ทางด้านล่าง ระบบหน้าต่างแบบนี้ไม่เคยเห็น จะลองดึงแรง ๆ ก็กลัวจะหลุดออกมาทั้งบาน จึงหยิบกล้องมาเพื่อถ่ายรูปเอาไว้ แต่..กดปุ่มถ่ายภาพไม่ลง เป็นอะไรไปหว่า ?

เห็นในจอขึ้นตัวหนังสือว่า "แผ่นบันทึกภาพบกพร่อง" บรรลัยละตู..แผ่นสำรองที่เอามาด้วยมีความจุแค่ 4GB เท่านั้น ถึงจะยังไม่มีวันไหนที่ถ่ายรูปจนข้อมูลถึง 4GB ก็เถอะ อย่างไรเสีย 8GB ก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่ดี ทดลองเปิดระบบล้างเครื่อง (Format) เจ้ากล้องคู่มือแจ้งว่า "ระบบจะลบข้อมูลในแผ่นบันทึกทั้งหมด" อย่างดีก็แค่เริ่มต้นใหม่ที่ IMG_0001 แค่นั้น อาตมาจึงกดปุ่มตกลง เจ้าเครื่องแสนรู้ล้างพรืดเดียวหมดเกลี้ยงเลย..!

สุธรรม 02-06-2017 17:25

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496398922
หน้าร้านอาหาร "สวนไทย"

ลองเปิดหน้ากล้องดู คราวนี้เครื่องทำงานตามปกติ จึงถ่ายรูปหน้าต่าง "หลุด" เอาไว้ดูเล่น แล้วตัดสินใจไม่ปิดหน้าต่าง ปล่อยให้อากาศเย็นไหลเข้ามาอย่างนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นถ้าปิดจนห้องอุ่นแล้ว ออกไปกระทบอากาศเย็นข้างนอกทีหลัง อาการไข้อาจจะกลับมาอีก แค่นี้ก็ไอค็อกไอแค็กไม่ค่อยจะหยุดแล้ว...

พิมพ์บันทึกประจำวันโดยไม่มีใครขัดคอ เพราะว่าหลวงพ่อพระครูเรืองยังคงนอนตีโปงเงียบฉี่ จนประมาณตีห้าครึ่งก็เซฟข้อมูล ปิดเครื่องแล้วไปสรงน้ำอุ่น แต่งตัวเรียบร้อยก็คว้ากล้องออกจากห้อง ลงลิฟท์ไปยังข้างล่าง เดินออกจากโรงแรมเพื่อไปเที่ยวดูบ้านดูเมืองของเขาตามอัธยาศัย กว่าจะมาถึงบ้านเขาเมืองเขาเสียเงินไปเป็นแสน จะให้มานอนเฉย ๆ แบบคนอื่นก็รู้สึกเสียดายเงิน ขอไปเก็บอะไร ๆ เข้าคลังสมองเอากำไรดีกว่า...

แม้ว่าอากาศในห้องกับนอกห้องจะเท่ากันแล้ว ออกมากระทบกับอากาศข้างนอกยังรู้สึกหนาวสั่นเข้าไปในอก หวังว่ามาลาเรียเพื่อนรักคงจะไม่รีบกำเริบผิดเวลา เลี้ยวซ้ายหน้าโรงแรมมาเจอป้าย THAI GARDEN น่าจะเป็นร้านอาหารไทย มีตัวอักษรเล็กกว่าย้ำว่า ROYAL THAI CUISINE เสียดายว่ายังไม่ได้เปิดร้าน ตรง “หน้าร้าน” นอกประตูกระจกที่เป็นโต๊ะอาหารหลายตัว มีรูปพระเจดีย์ทรงลังกาสูงประมาณเมตรยี่สิบประดับร้านอยู่ ๒ องค์ หวังว่าคงจะมาทำช่วยสร้างชื่อเสียงดี ๆ ให้กับคนไทยที่นี่นะจ๊ะ...

สุธรรม 03-06-2017 02:24

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496431285
"แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่" แต่..ยังไม่มีใครโผล่หน้ามาเลย

เดินข้ามถนนตรงสี่แยกที่เมื่อวานรถราพลุกพล่านมาก แต่ตอนนี้ต่อให้ลงไปนอนเล่นสักครึ่งชั่วโมงก็ยังไหว เดินย้อนทางเดิมกลับมาที่แม่น้ำ ร้านค้าและบ้านเรือนปิดเงียบกันไปเสียทุกแห่ง จนข้ามสะพานแล้วถึงพอมีคนเดินมาบ้าง พอทักไปก็ได้แค่คำว่า “Morning” กลับมาเท่านั้น แล้วต่างคนต่างไปโดยไม่ได้ปฏิสันถารอะไรมากไปกว่านี้...

มาถึงกลางสะพานมองไปทางซ้ายมือ แสงแดดยามเช้าเริ่มสาดจับยอดอาคารสูงหลายหลัง อร่ามเรืองเหมือนกับสาดด้วยแสงสป็อตไลท์ ยิ่งตัวปราสาทสีขาวบนเนินก็ยิ่งเด่นชัด ในน้ำและบนฝั่งมีทั้งเป็ดมอลลาร์ดและหงส์ขาว บ้างมาเดี่ยวบ้างมาเป็นหมู่ บ้างก็ลอยล่องไซ้หาอาหาร บ้างก็ลอยหลับเอาหัวซุกหลัง พื้นน้ำมีไอหมอกบาง ๆ ลอยอยู่ทั่วไปหมด...

สุดสะพานเดินเลี้ยวขวามาถึงสะพานไม้เลื่องชื่อระบือโลก ที่เมื่อวานมีแต่คนแออัดยัดเยียดกัน วันนี้เงียบสงัดวังเวงแทบจะเหมือนบทบรรยาย “รำพึงในป่าช้า” มีผู้ชายสองสามคนยืนลงเบ็ดอยู่ริมน้ำเท่านั้น แสงตะวันเริ่มฉายฉานจับตัวสะพานและผิวน้ำ เป็นจังหวะในการถ่ายภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะว่าอาตมาชอบถ่ายภาพสถานที่มากกว่าผู้คน โดยเฉพาะไม่ชอบเอาตัวเข้าไปเกะกะในรูปจนเสียบรรยากาศไปหมด...

สุธรรม 03-06-2017 17:08

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496484313
ผักทุกอย่างดูสดกรอบน่ากินมาก

สองข้างทางที่เมื่อวานเย็นยังว่าง ๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นตลาดสดไปซะแล้ว สารพัดผักสดจากไร่เรียงรายจนลานตา ทั้งผักกาดเขียว ผักกาดขาว ผักกาดม่วง หัวแครอต หัวเทอร์นิป มะเขือเทศ กับที่ไม่รู้จักชื่ออีกเป็นกุรุส แต่ละอย่างดูสดกรอบน่าขม้ำให้จมเขี้ยว บางช่วงก็เป็นดอกไม้สดสารพัดชนิด มีทั้งตัดดอกและมาเป็นกระถาง ที่กำลังขนลงจากท้ายรถบรรทุกมาจัดวางก็อีกมาก สตอเบอรี่สีสดแดงฉ่ำเป็นลัง ๆ บางร้านก็วางเนยก้อนเนยเหลืองอร่ามเต็มไปหมด ก้อนขนาดเขียงหนาเป็นคืบก็ยังมี...

“ออกมาเมื่อไรครับ ?” ใบฎีกาวรัญญูตามมาตอนไหนก็ไม่รู้ ? ขนใส่เครื่องกันหนาวมาเต็มที่ โดยเฉพาะหมวกไหมพรม ถ้าไม่ส่งเสียงมาก่อนคงต้องเล็งอีกนานว่าใครกันแน่ “น่าจะก่อนคุณนิดเดียวเท่านั้น ผมเพิ่งจะเดินมาได้แค่นี้เอง” อีกฝ่ายรับทราบแล้วเดินถ่ายรูปของตัวเองไป ในขณะที่อาตมาก็เดินหามุมสวย ๆ เฉพาะตัวเช่นกัน จนสุด “ซอย” มาถึงถนนสายหลัก อาตมาก็เลี้ยวขวาขึ้นสะพานคอนกรีต ที่มีชายหนุ่มยืนลงเบ็ดกันอยู่หลายคน...

ชะโงกดูในน้ำก็ไม่เห็นปลาสักตัว ทั้งที่ “น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา” ถ่ายรูปพรานเบ็ดไว้แล้วเดินต่อ มาถึงหัวสะพานฝั่งนี้เจอเด็กวัยรุ่นตัวดำ ๆ ตาโต ๆ หน้าตาบอกความเป็นชาวชมพูทวีปอย่างเด่นชัด มือขวาถือเบ็ดมือซ้ายถือถุงพลาสติก ในถุงมีปลาขาวหน้าตาคล้ายปลาตะเพียนแต่ตัวเรียวกว่ากำลังดิ้นอยู่หนึ่งตัว ไอ้หนูส่งเสียง “Morning” มาอย่างร่าเริง อาตมาตอบกลับไปว่า “นมัสเต” เล่นเอาอีกฝ่ายอายม้วนต้วนไปเลย ฮ่า..!

สุธรรม 04-06-2017 01:22

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496513965
ประตูชัยหน้า "หัวลำโพง" เมืองลูเซิร์น

เลยสะพานมาเป็นสี่แยกใหญ่ อาตมาเดินข้ามถนนซึ่งได้ไฟเขียวพอดี ที่เสาสัญญาณไฟมีกล่องสีเหลือง ซึ่งมีรูปคนถือไม้เท้าสีฟ้าติดอยู่ด้วย เขาเอาไว้ทำอะไรหว่า ? “เป็นกล่องสำหรับผู้พิการทางสายตาครับ เปิดฝาแล้วกดปุ่ม สัญญาณไฟเขียวสำหรับคนข้ามถนนจะติด ทำให้สามารถข้ามถนนได้ทันทีไม่ต้องรอนาน” “ท่านนายพล” เฉลยให้ทราบ แล้วมาชุดไพรเวทแบบนี้ไม่หนาวบ้างหรือลุง ? พอไปถึงฝั่งตรงข้ามอาตมาก็เลี้ยวซ้ายข้ามถนนอีกครั้ง มุ่งตรงไปยัง “ประตูชัย” ที่เห็นอยู่ไม่ไกล...

ประตูนี้มีขนาดใหญ่มหึมาประทับใจทีเดียว ลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยมกระหนาบครึ่งวงกลม ระหว่างเสาด้านล่างมีช่องประตูให้เดินผ่านได้สามช่อง แต่ละช่องก็คือเสากลมแบบยุคเรอเนสซองส์ เทินครึ่งวงโค้งอยู่ด้านบน ตรงกลางแต่ละครึ่งวงโค้งเป็นรูปปั้นหัวคนหล่อ ๆ ที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร แล้วครึ่งวงโค้งทั้งสามก็เทินครึ่งวงโค้งใหญ่อยู่ด้านบนอีกที กลางครึ่งวงโค้งใหญ่ที่มีเสากลมกระหนาบอยู่ เป็นนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงยี่สิบนาที ด้านบนสุดของโค้งเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวลอยตัวของคนที่ยกมือประท้วงอะไรก็ไม่รู้ ? ยอดเสาของข้างก็มีรูปปั้นลอยตัวอยู่เช่นกัน ใต้รูปปั้นบนหัวเสาเป็นตราประจำเมืองหรือประจำตระกูลก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ...

ถ่ายรูป “ประตูชัย” ไว้แล้วก็เดินทะลุประตูไปทั้งที่รอบข้างก็เดินได้ ทางซ้ายมือมีบันไดลงอุโมงค์ใต้ดิน แต่อาตมาไม่มีเวลาลงไปสำรวจ ตั้งใจจะไปดูรถไฟของเมืองนี้ จึงเดินไปยังอาคารกรุกระจกขนาดมหึมา มีอักษรตัวมหึมาเขียนว่า Rail City คำว่า Rail เป็นสีขาว คำว่า City เป็นสีแดงสะดุดตา แต่ที่สะดุดตายิ่งไปกว่านั้นก็คือ จักรยานนับพันคันที่จอดแน่นขนัด เรียงรายเป็นแถวยาวเหยียดอยู่ด้านหน้าอาคารหลังนี้ แสดงว่าผู้คนส่วนใหญ่มาด้วยจักรยาน แล้วมาต่อรถไฟกันที่นี่เอง...

สุธรรม 04-06-2017 17:13

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496571022
ขบวนรถไฟในสถานีที่ไม่รู้ว่าไปไหนกันบ้าง ?

จักรยานมากมายขนาดนั้น ทำไมไม่เห็นจะมีผู้คนที่ไหนเลย ? “เขาเอามาจอดทิ้งไว้แล้วขึ้นรถไฟไปครับ บางคนก็ไปทีสามวันห้าวัน บางคนก็สองวันสามวัน หลายคนก็เอารถจักรยานขึ้นรถไฟไปด้วย” ถ้าไม่ได้ “ท่านนายพล” คอยชี้แจงแถลงไข อาตมาก็คงจะงมหาคำตอบเองไปอีกนาน เดินผ่านประตูกระจกเข้าไป มีตู้ขายน้ำอัตโนมัติแบบหยอดเหรียญ และ “หาบเร่ฝรั่ง” ที่เป็นร้านเล็ก ๆ ขายของจำพวกหมาร้อน (Hot Dog) กับอาหารปิ้งย่างสอดไส้ขนมปังประเภทเคบับ (Kebab) ซึ่งตอนนี้แทบจะมีแต่คนขายกับพนักงานรถไฟเท่านั้น...

เดินตรงไปยังชานชาลาที่อยู่ตรงหน้า เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสองคนชำเลืองมอง แล้วก็ไม่ได้สนใจอีกว่าอาตมาจะมาวางระเบิดหรือไม่ ? อีกนายน่าจะเป็นช่างเครื่องกำลังรื้อหัวรถจักรอยู่ทางรางในซ้ายสุด มีรถไฟความเร็วสูงจอดอยู่หลายขบวน หน้าตาเหมือนหนอนแก้วสีขาวคาดลายสีส้ม บางขบวนก็คาดลายสีน้ำเงิน มีป้ายดิจิตอลสีเขียวเรืองที่หัวรถทุกคัน บอกว่าเป็นขบวนที่เท่าไร ไปที่ไหนบ้าง แต่เป็นภาษาเยอรมันที่อ่านไปก็น่าจะผิดมากกว่าถูก ทุกขบวนจะมีตู้พิเศษที่มีรูปคนพิการและจักรยานติดอยู่ด้วย แต่การให้คนพิการมาขึ้นตู้เดียวกับจักรยานคงจะเกะกะกันดีพิลึก...

เดินถ่ายรูปหัวรถจักรไปเรื่อย ๆ สถานีเขาน่าจะใหญ่กว่าหัวลำโพงสักสี่ห้าเท่าเห็นจะได้ จนเห็นว่าเดินไปก็คงจะเหนื่อยเปล่าเพราะรถไฟทุกขบวนก็หน้าตาเหมือน ๆ กัน อาตมาจึงเดินย้อนกลับออกมาทางเดิม แล้วเลาะไปทางขวามือ (ทางซ้ายของขาเข้า) เจอจุดจอดแท็กซี่ที่ตอนนี้มีจอดเรียงรายอยู่สามคัน ด้านนี้ก็มีจักรยานแน่นไปหมดเช่นกัน ถัดไปเป็น “หมอชิต” แห่งเมืองลูเซิร์น มีรถบัสสีขาว สีเหลือง และสีน้ำเงินคาดขาวจอดอยู่สี่คัน เดินต่อไปอีกหน่อยมาเจออาคารอีกหลังอยู่ติดริมทะเลสาบ ด้านหน้าอาคารเป็นอ่างน้ำพุแบบจานลอยขนาดใหญ่...

ทะเล 04-06-2017 22:29

ใครก็ได้ช่วยบอกที..หน้าต่างเป็นแบบนี้เรียกว่าพังได้ไหม ?

ไม่พังค่ะ

หน้าต่างทางแถบยุโรปสมัยปัจจุบันจะออกแบบมาให้เปิดได้หลายแบบ ถ้าอย่างตัวในรูปปกติแล้วมักจะเปิดได้สองแบบในบานเดียวกัน คือเปิดโดยอาศัยบานพับด้านข้างเปิดกว้างออกไปเป็นบานสวิง หรือเปิดให้แง้มแค่ด้านบนอย่างในรูป ประโยชน์ก็เช่น ให้อากาศถ่ายเทแต่คนนอกไม่สามารถปีนเข้ามาได้ ทำให้เปิดทิ้งไว้ได้โดยไม่ต้องกลัวใครจะยื่นมือเข้ามาหยิบของในบ้านออกไป เพราะบ้านเขาบางทีไม่ทำรั้วรอบขอบชิดแบบเรา เป็นเรื่องปกติที่อาจจะแค่ปลูกต้นไม้เป็นแนวรั้ว แล้วเว้นเป็นช่องว่างสำหรับรถแล่นเข้า โดยไม่มีประตูที่รั้วแบบเรา ใครจะเดินผ่านสนามหญ้าเข้ามาส่องหน้าต่างบ้านก็ทำได้สบาย ๆ

จะเปิดกระจกแบบไหนก็ใช้วิธีบิดตำแหน่งมือจับ เช่น อย่างในรูปหมุนให้ปลายที่จับชี้ขึ้นเป็นแนวตั้งก็จะเป็นแบบเปิดแง้มข้างบน ถ้าหมุนให้ปลายชี้เป็นแนวนอนก็จะเป็นเปิดแบบบานสวิง ถ้าต้องการปิดล็อคหน้าต่างให้ผลักเปิดไม่ได้ทั้งสองวิธีให้หมุนปลายชี้เป็นแนวนอนแต่ชี้ไปคนละด้านกับด้านที่ใช้เวลาเปิดแบบบานสวิง

แต่เนื่องจากว่าที่พักที่พระอาจารย์ไปพักเป็นโรงแรม คิดว่าเขาติดกุญแจล็อคอยู่ทางด้านล่างเพื่อไม่ให้เปิดแบบบานสวิงได้ เพื่อป้องกันลูกค้ากระโดดตึก และกันไม่ให้ฝนสาดเข้ามามากหากลูกค้าเปิดทิ้งไว้

สุธรรม 05-06-2017 03:08

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496606665
รถไฟ เรือเมล์ ลิเก เอ๊ย...รถทัวร์ อยู่ที่เดียวกันหมด

ด้านข้างของอาคารเป็นท่าเรือ มีเรือโดยสารเทียบท่าอยู่สองลำ มีคำว่า EUROPA อยู่ที่หัวเรือลำหนึ่ง อีกลำหนึ่งมีคำว่า BRUNNEN ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นชื่อสายการเดินเรือ ชื่อเรือหรือว่าชื่อบริษัท แต่ละลำดูแล้วรับคนได้เป็นร้อย ๆ เลย ทำไมบ้านเราไม่มีแบบนี้บ้างหนอ ? ไปที่เดียวแล้วเลือกเอาว่าจะขึ้นรถไฟ รถทัวร์ หรือว่าลงเรือก็ได้ตามใจชอบ ถ่ายรูปเรือแล้วดูเวลาในกล้อง เห็นว่าหกโมงครึ่งแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันกับเวลาอาหารเช้าที่โรงแรม อาตมาจึงเดินเลียบทะเลสาบหรืออาจจะเป็นแม่น้ำรอยส์ช่วงที่กว้างมากก็ไม่รู้ ? เพื่อกลับไปยังโรงแรมที่พัก ก็เลยได้เห็นความสกปรกในยุโรปเป็นครั้งแรก...

น่าจะเป็นหมาจรจัดมาล้มถังขยะเอาไว้ แล้วลมทะเลสาบที่ค่อนข้างแรงพัดเอาขยะปลิวไปเป็นทางยาว จะช่วยเก็บหรือก็เวลาไม่พอสำหรับขยะมากขนาดนั้น จึงเดินดูเป็ดดูหงส์ไปเรื่อย ๆ มีหงส์หนุ่มตัวใหญ่แต่งตัวอยู่ริมน้ำอย่างขะมักเขม้น ขนาดเอากล้องจ่อหน้าถ่ายรูปพ่อหนุ่มยังไม่สนใจเลย จนมาถึงสะพานคอนกรีตที่เป็นถนนใหญ่ ซึ่งตอนนี้มีพรานเบ็ดเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน แต่ก็ยังไม่เห็นใครได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หนุ่มน้อยอินตะระเดียนั้นหายหน้าไปแล้ว อาตมาเดินผ่านตลาดเช้าที่เริ่มมีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของ ข้ามแม่น้ำกลับไปโรงแรมในทางเดียวกับที่เดินมา...

เสียบบัตรขึ้นลิฟท์กลับไปยังห้องพัก หลวงพ่อพระครูเรืองหายไปแล้ว รีบเข้าห้องน้ำไปปัสสาวะแล้วกลับออกมา เจอหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ กำลังจะไปห้องอาหาร “เขาว่าอยู่ที่ชั้น ๗ นะครับท่านพระครู” อาตมาจึงชวนท่านเข้าลิฟท์ เสียบบัตรกดลิฟท์ไปชั้น ๗ ท่านจับมืออาตมาเหมือนกับกลัวว่าจะโดนทิ้ง แล้วบ่นว่า “ท่านพระครูน่าจะเป็นคนเลือดน้อย มือเย็นเจี๊ยบเลย” อ๋อ..ต่อให้เลือดมากเท่าไรถ้าออกไปตากความหนาวแบบผม ก็คงจะมือเย็นเหมือนกันทุกคนแหละครับ เมื่อโผล่ออกมาจากลิฟท์ก็เห็นจีวรของพวกเราเดินลับฉากไปอยู่ไว ๆ จึงเดินตามกันเข้าไปด้านในของห้องอาหาร...

สุธรรม 05-06-2017 16:46

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496655799
ปราสาทชื่ออ่านยากบนเนินเขา

“นิมนต์ฉันเช้าครับหลวงพ่อเจ้าคุณ...นิมนต์ครับพระอาจารย์” มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งเสียงมาจากมุมด้านใน เห็นพวกเรายึดโต๊ะยาวเรียงรายเป็นตับ ต้องเดินผ่านโต๊ะอื่น ๆ ที่ผู้คนเริ่มแน่นเข้าไปไกลทีเดียว หลวงพ่อเรืองกับใบฎีกาวรัญญูก็อยู่ที่นี่แล้ว อาตมานั่งกลางที่ยังว่างอยู่ระหว่างท่านประธานรุ่นกับพระครูวิสุทธฯ เห็นตรงหน้ามีทั้งข้าวต้ม กับยำกุนเชียงและผักกาดดอง ซ้ำยังมีกล่องข้าวสวยโปะหน้าไข่ดาว มีถ้วยน้ำปลาพริกวางอยู่ใกล้ ๆ พร้อมทั้งขนมต้มอีกจาน “โยมมาถวายกันแต่เช้าเลยครับ” ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชาบอก เมื่อดูแล้วว่าของแค่นี้ไม่อิ่มแน่ อาตมาจึงลุกไปหยิบจาน ตักเอาพวกแฮมและขนมปังมาเพิ่มอีกหน่อย...

“Coffee or tea ?” อีหนูที่น่าจะเป็นพนักงานของห้องอาหารเดินมาถาม แต่ท่าเดินของเธอดูแปลก ๆ พิกลพิการ เมื่อสังเกตดูถึงเห็นว่ากางเกงที่รัดติ้วของเธอนั้น ตรงหว่างขาห่างประมาณเกือบมือลอดได้ตรงแหน็วลงไปถึงปลายขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการออกแบบกางเกงหรือขาคุณเธอเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เกิด จึงต้องเดินขาถ่างโขยกเขยกน่าสงสารจริง ๆ “Tea, please” อาตมารีบบอกก่อนที่เธอจะยืนให้ดูนานกว่านั้น กำลังกลืนขนมปังฝืดคออยู่น้ำชาที่ขอไว้ก็มาถึง จึงขอบคุณในบริการที่ดีเลิศของเธอ แล้วรีบซดเข้าไปก่อนที่จะติดคอตาย จากนั้นกวาดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าลงท้องไปจนเกลี้ยง แล้วขอตัวกับเพื่อน ๆ เดินไปถ่ายรูปทิวทัศน์ที่มองเห็นจากหน้าต่างกระจกรอบด้าน...

จากด้านบนของระเบียงห้องอาหาร สามารถเห็นทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่องรอบด้าน โดยเฉพาะปราสาทสีขาวที่อยู่บนยอดเนินเขา ซึ่งตรงนี้สามารถเห็นตัวหนังสือขนาดใหญ่ที่เขียนว่า GUTSCH ตรงบริเวณกำแพงปราสาท ซึ่งถ้าออกเสียงตามสำเนียงเยอรมันน่าจะอ่านว่า “กุทส์ค” ซึ่งลิ้นคนไทยออกเสียงไม่ได้แน่ นอกจากจะเป็นต่อมทอนซิลอักเสบจนคอบวม ส่วนด้านอื่น ๆ ก็มีบ้านบางหลังที่น่าจะเก่าแก่หลายร้อยปี เพราะว่ามีหอคอยตรวจการณ์แบบโบราณอยู่ด้วย เมื่อถ่ายรูปรอบข้างแล้ว อาตมาก็หันมาถ่ายในห้องนั่งเล่นด้านข้างห้องอาหาร ซึ่งนอกจากชุดรับแขกสีม่วงแดงหลายชุดแล้ว ยังมีรูปเทวดาฝรั่งไม่มีหัว แต่ผงาดปีกเหมือนกำลังจะ “take off” อยู่กลางห้องอีกด้วย...

สุธรรม 06-06-2017 03:25

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496694139
วันนี้จะได้นั่งจรวดติดราง (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

ถ่ายรูปจนไม่มีอะไรเหลือให้ถ่ายแล้ว อาตมาก็กดลิฟท์ลงไปที่ห้องพัก จัดการแปรงฟันแล้วเก็บของลงกระเป๋า หอบเอาไปวางไว้ที่หน้าห้อง เหลือกระเป๋าโน้ตบุ๊กกับกระเป๋าใบที่หูขาดติดตัวลงมาถึงชั้นหนึ่ง เจอหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ หลวงพ่อพระครูเรือง ท่านไพฑูรย์ พระครูปรีชา นั่งรอกันอยู่ที่ชุดรับแขก ตรงใกล้ประตูมีกระเป๋าของพวกเราที่พนักงานยกลงมาแล้วส่วนหนึ่ง อาตมาถามดูว่ามีใครจะคืนกุญแจบ้างไหม ? ปรากฏว่าทุกท่านคืนไปแล้ว จึงต้องกลับขึ้นชั้นสองไปที่ล็อบบี้คนเดียว ซึ่งไม่เจอ “หนูอวบ” ที่น่าจะออกเวรไปแล้ว จึงเอาบัตรกุญแจคืนให้กับพนักงานที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์แทน...

พอกลับหลังหันก็เห็นบันไดลงชั้นล่างซึ่งกว้างทีเดียว จึงเดินลงมาหาพรรคพวกที่ชั้นหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าบันไดที่เหมือนกับอยู่กลางซอกตึกจะพาขึ้นไปที่ล็อบบี้ได้ เพราะปกติแล้วล็อบบี้ก็อยู่ที่ชั้นล่างสุดกันทั้งนั้น มีแต่ที่นี่ซึ่งไม่เหมือนกับใครเลย มานั่งรอที่ชุดรับแขกได้ครู่หนึ่ง คุณโอ๋ก็โผล่มาบอกว่า “รถมาแล้วครับ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านขึ้นรถได้เลยครับ” อาตมาเดินไปส่งกระเป๋าให้กับนายสันโดษ บอกว่าขอฝากใบนี้เพิ่มอีก ๑ ใบ เพราะว่าหูกระเป๋าขาดหิ้วไม่ได้แล้ว อีกฝ่ายรับไปไว้บนใบอื่นเพราะว่าเป็นกระเป๋าใบค่อนข้างเล็กมาก...

เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่และปิดประตูข้างรถดีแล้ว นายสันโดษก็ขึ้นประจำที่นั่งคนขับ รอจนคุณโอเล่หอบกระเป๋าเสบียงและยาขึ้นมาก็นำรถออก อาตมาดูนาฬิกาที่หน้ารถเห็นเป็นเวลา ๐๘.๐๖ น. มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไมค์บรรยายตามหน้าที่ “วันนี้ผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านออกจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์แล้วนะครับ เราจะวิ่งจากเมืองลูเซิร์น (Luzern) ผ่านเมืองบาเซิล (Basel) เพื่อข้ามพรมแดนไปยังเมืองดีจอง (Dijon) ของฝรั่งเศส จากนั้นก็จะพาทุกท่านนั่งรถไฟความเร็วสูงเตเจเว (TGV = Train a Grande Vitesse) ไปยังกรุงปารีสครับ”...

สุธรรม 06-06-2017 17:16

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496743945
สนามฟุตบอลเมืองบาเซิลที่เกือบจะถ่ายรูปไม่ทัน

เมื่อได้ยินว่าจะได้นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV เป็นอะไรที่สร้างความฮือฮาให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก เพราะเคยได้ยินมาว่าราคาตั๋วรถไฟนี้แพงพอ ๆ กับนั่งเครื่องบินเลยทีเดียว สงสัยว่างานนี้รีเจนซี่ทัวร์จะทุ่มทุนสร้าง เรื่องกำไรคงไม่ต้องพูดถึงกันอีกแล้ว เหลืออยู่แค่ว่าจะขาดทุนมากน้อยเท่าไรแค่นั้น ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐขอให้พวกเราทำวัตรเช้าตามหน้าที่ เสียงสวดมนต์จึงกระหึ่มขึ้นมาบนรถอีกครั้ง ท่านประธานรุ่นใส่บทสวดมนต์พิเศษเหมือนงานเจริญพระพุทธมนต์เข้าไปด้วย กว่าจะจบจึงเล่นซะ ๕๐ นาที แล้วอุทิศส่วนกุศลท่ามกลางเสียงสาธุการสะท้านสะเทือนของ “ท่านนายพล” กับบริวารทั้งหลาย...

ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยนำเอาช็อกโกแล็ตแท่งใหญ่มาถวายพวกเราคนละ ๑ แท่ง บอกว่าญาติโยมคนไทยเอามาถวายไว้ตั้งแต่เช้ามืด อาตมาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีช็อกโกแล็ตที่ทางวัดไทยศรีนครินทรวรารามถวายเอาไว้ และไม่ได้หยิบลงจากรถ เพราะว่าอะไรที่ไม่ได้ซื้อหาเอง จะไม่ได้บันทึกอยู่ในหน่วยความจำ เมื่อลุกขึ้นไปดูที่ชั้นวางของซึ่งทิ้งช็อกโกแล็ตเอาไว้ ปรากฏว่าอันตรธานไปแล้วทั้งกล่อง ป่านนี้ลงท้องใครไปแล้วก็ไม่รู้ ? ดีเหมือนกัน...จะได้ไม่ต้องลำบากลำบนขนกลับเมืองไทย ซึ่งขนไปแล้วก็ไม่ได้กินเองอีกด้วย เพราะว่าไม่เคยชอบของพวกนี้เลย...

รถของเราวิ่งผ่านสนามฟุตบอลขนาดมหึมาของเมืองบาเซิล ซึ่งมีสารพัดป้ายโฆษณาติดอยู่เต็มไปหมด เลยไปหน่อยเดียวก็มีป้ายบอกทางไปยังทางหลวงหมายเลข E 25, E 35 และ E 60 และทางด่วนหมายเลข 2 กับหมายเลข 3 และป้ายบอกทางไปยัง Bad. Bahnhof กับ Messe ซึ่งไม่คุ้นเคยว่าเป็นที่ไหน นายสันโดษพารถขึ้นถนนลอยฟ้า ซึ่งมีกำแพงกันเสียงสูงท่วมหัว ผ่านอาคารที่เหมือนอัฑฒจันทร์สำหรับดูกีฬาขนาดมหึมา แล้วมุดลงดินเข้าอุโมงค์สี่เหลี่ยม ซึ่งสองข้างอุโมงค์มีทางเว้าเผื่อให้จอดรถที่เสีย และมีประตูสีเขียวอยู่เป็นระยะไป เขาจะมีประตูไปทำไมวะ ? “เอาไว้เป็นทางหนีฉุกเฉินเผื่อว่าเกิดอุบัติเหตุแล้วรถจะระเบิดครับ” “ท่านนายพล” ต้องเฉลยตามเคย...

สุธรรม 07-06-2017 12:09

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496811900
ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่หน้าตาเหมือน "งอบ" ของชาวนาไทย (ห้ามถ่ายรูป)

โผล่ออกมาอีกทีก็วิ่งขึ้นถนนลอยฟ้าข้ามหัวรถราอื่น ๆ แล้วมาโดนคนอื่นข้ามหัวด้วยการลอดใต้ทางด่วนขนาดใหญ่ ตรงไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองที่หน้าตาเท่มาก ๆ เพราะว่าเป็นโครงเสาโลหะตั้งขึ้นไป แล้วมีสายสลิงโยงลงมาที่ “ตัวอาคาร” หน้าตาคล้ายกับงอบของบ้านเรา แต่ละเสาจะมีงอบอยู่ตรงกันข้ามข้างละใบ รวมทั้งหมด ๘ ใบด้วยกัน ใต้งอบแต่ละใบก็คือห้องทำงานของด่านตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าและขาออก “พระอาจารย์ท่านใดที่มีใบขอคืนภาษี ๘ % กรุณาช่วยรวบรวมมาให้ผมด้วยครับ จะได้เอาไปให้เขาประทับตราเพื่อขอคืนภาษี เวลาไปที่สนามบินจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปประทับตราอีก”...

พวกเราหลายคนรวบรวมใบขอคืนภาษีส่งให้กับมัคคุเทศก์รูปหล่อ ซึ่งถือไปรวมกับบัญชีรายชื่อของพวกเรา มีแต่ท่านประธานรุ่นที่บ่นอุบอิบด้วยเสียงเหน่อเพชรบุรีเพราะหาใบคืนภาษีไม่เจอ ไม่รู้ว่าท่านเอาไปซุกไว้ที่ไหน “คราวหน้าบอกแต่เนิ่น ๆ หน่อยนะ บอกกะทันหันแบบนี้หาไม่เจอหรอก” ก่อนลงจากรถมัคคุเทศก์ของเรายังกำชับว่า “บริเวณนี้ห้ามถ่ายรูปนะครับ” แล้ววิ่งลงไปยังห้องทำงานที่ตรงกับเลนรถของเรา นายสันโดษนำรถวิ่งไปจอดรอที่ลานจอดรถขนาดใหญ่ข้างด่าน อาตมาเบื่อที่จะรออยู่บนรถเฉย ๆ จึงลงจากรถไปเพื่อหามุมที่เขา “ไม่ห้ามถ่ายรูป”...

เดินไปหานายสันโดษที่ลงไปยืนผ่อนคลายอิริยาบถที่ข้างรถคู่ใจ บอกว่าขอถ่ายรูปด้วย อีกฝ่ายทำมือ OK อาตมาจึงส่งกล้องให้ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐช่วยบริการ แล้วท่านอาจารย์ก็ส่งไมโครโฟนที่ “ไมโคร” จริง ๆ เพราะว่าตัวเท่าปลายนิ้วก้อยมาให้ บอกว่า “ช่วยสัมภาษณ์มาร์โกให้หน่อยครับ” อาตมารับมาแล้วหันไปส่งให้นายสันโดษพลางถามว่า “รู้สึกอย่างไรบ้างกับผู้โดยสารคณะนี้ ?” นายสันโดษอึกอักใบ้รับประทาน ยืนงงเหมือนกับโดนหมัดของ ไมค์ ไทสัน อยู่อึดใจหนึ่ง ก็ส่งไมโครโฟนคืนให้อาตมาแล้วเดินหนีไปดื้อ ๆ ทำเอาทั้งท่านอาจารย์และอาตมาหัวเราะกันลั่น เออหนอ...คนที่กลัว “ดอกพิกุลร่วง” ขนาดนี้ก็มีเหมือนกัน...

สุธรรม 07-06-2017 14:21

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496819859
นายสันโดษยอม "ออกสื่อ" แค่นี้..!

พระครูปรีชาที่โผล่มาตอนท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐกำลังจะถ่ายทำการสัมภาษณ์ เดินตามไปสะกิดนายสันโดษ ส่งธนบัตรไทยใบละ ๒๐ บาทให้ ๑ ใบ “ให้เขาเป็นของที่ระลึกพูดว่าอย่างไรครับท่านอาจารย์ ?” คำถามนี้สำหรับ “ท่านอาจารย์เล็ก” อย่างแน่นอน เพราะว่าท่านเรียกแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่อาตมาเป็นเจ้าภาพบวชให้ "Give you for a memorial." อาตมาบอกขณะที่ท่านเลียนเสียงเป็นนกแก้วนกขุนทอง นายสันโดษรับไปดูด้วยความสนใจ "Grazie" เออ...คนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษ อีกคนตอบมาเป็นภาษาอิตาเลียน ก็ดูสนิทสนมกลมกลืนกันไปได้เหมือนกันนะนี่...

“นิมนต์ขึ้นรถค่ะ” เสียง “หญิงใหญ่” ตะโกนบอก พวกเราจึงรู้ว่าคุณโอ๋จัดการธุระเสร็จแล้ว คุณโอเล่จัดการนับจำนวน เมื่อเห็นว่ามากันครบมัคคุเทศก์รูปหล่อก็แจ้งให้นายสันโดษนำรถออกได้ ตนเองหยิบไมโครโฟนติดรถมาบรรยายตามหน้าที่ "พระอาจารย์ทุกท่านกำลังตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง ร. ๕ อยู่นะครับ พระองค์ท่านเสด็จประพาสยุโรป นำเอาความเจริญที่ทรงพบเห็นไปพัฒนาบ้านเมืองของเรา ทอดพระเนตรเห็นถนนช็องเอลิเซ่ ก็นำไปสร้างเป็นถนนราชดำเนิน ใหญ่กว่าของฝรั่งเศสต้นตำรับเสียอีก สมัยนั้นผู้คนยังถามว่าสร้างไปทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้น ? แต่มาถึงสมัยนี้ไม่พอใช้งานเสียแล้ว...

เห็นสถานีรถไฟแฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมัน พระองค์ท่านก็นำไปสร้างเป็นสถานีรถไฟหัวลำโพง เห็นอนุสาวรีย์ต่าง ๆ ก็ทรงดำริสร้างเป็นพระบรมรูปทรงม้า ทำให้ประเทศไทยที่เคยมีแค่หุ่นไล่กา มีอนุสาวรีย์ที่สร้างด้วยฝีมือช่างระดับโลก ช่วงนั้นเป็นยุคทองของไทยที่เจริญกว่าประเทศไหน ๆ ในเอเชีย แต่พอพ้นมาแล้วทุกอย่างเหมือนกับหยุดชะงักไปเฉย ๆ ไม่มีการสานต่อพระราชปณิธานของพระองค์ท่านอีก อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยรัชกาลที่ ๖ ท้องพระคลังว่างเปล่า รัชกาลที่ ๗ โดนคณะราษฎร์ยึดอำนาจ รัชกาลที่ ๘ เป็นสมัยสงคราม จนมาถึงรัชกาลที่ ๙ นี่แหละครับ ที่ความเจริญต่าง ๆ ค่อยแผ่ขยายออกไปสู่ชนบท” เฮ้ย..วันนี้มัคคุเทศก์ของเรามี “กัด” เล็ก ๆ ด้วย..!

สุธรรม 08-06-2017 02:32

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496863735
ป้ายบอกว่าเป็นห้องน้ำผู้ชายชัด ๆ..!

วิ่งผ่านป้าย Paris 555 KM โอ้โฮเฮะ...ไม่ใช่ใกล้ ๆ เลยนะนี่ ถัดไปเป็นป้ายรูปกวางกระโจน น่าจะบอกว่า “ระวังกวางข้ามถนน” มองไกลออกไปเห็นถนนอีกเส้นหนึ่งที่คู่ขนานไปกับเส้นที่เรากำลังวิ่ง นาฬิกาหน้ารถบอกเวลา ๑๐.๐๔ น.เมื่อรถมาถึงด่านเก็บเงินขนาดใหญ่ ซึ่งรถที่ชะลอตัวเพื่อผ่านด่านเก็บเงิน ทำให้เกิดรถติดยาวเหยียดทีเดียว ผ่านด่านไปแล้วสองข้างทางก็เป็นสภาพป่าและเขาตามเดิม บางช่วงมีป้ายรูปหัวรถไฟ มีคำว่า TGV อยู่ด้วย บอกให้รู้ว่าถ้าคุณจะขึ้นรถไฟ ก็ควรที่จะวิ่งไปยังเส้นทางไหน นับว่าเอื้อเฟื้อดีมาก...

พลขับผู้เงียบขรึมนำรถวิ่งไปอีกประมาณ ๒๕ นาที ก็เข้าสู่ชุมชนที่มีบ้านเรือนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาถึงเขตเมืองที่มีบ้านเรือนหนาแน่น มองไปข้างหน้าเห็นรถไฟกำลังวิ่งผ่านกลางถนน เหมือนกับลอยไปบนฟ้า รถของเรามุดไปใต้ทางรถไฟ แล้วมาโผล่อีกด้านหนึ่ง “Toilet stop.” เสียงตะโกนมาจากข้างหลัง บ่งบอกว่ามีคนอั้นไม่ไหวแล้ว จึงยอมเปิดปากด้วยภาษาอังกฤษรูปแบบพิลึก พอดีรถของเราวิ่งผ่านป้ายบอกราคาน้ำมัน แสดงให้เห็นว่ามีสถานีบริการน้ำมันอยู่ไม่ไกล ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็มีส้วมให้เข้าแน่ ๆ แต่ของที่นี่ยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่ามีหรือไม่ ?

๓ – ๔ นาทีต่อมา ก็เห็นสถานีบริการน้ำมัน AVIA ขนาดใหญ่อยู่ทางขวามือ ที่น่ายินดีก็คือนายสันโดษนำรถเลี้ยวเข้าไปในปั๊มจริง ๆ เมื่อจอดสนิทและพวกเราลงกันแล้ว เห็นส่วนของร้านสะดวกซื้อที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุด พวกเราตรงเข้าไปโดยไม่ลังเล โอ้โฮเว้ย...ห้องน้ำที่นี่หรูหราสุด ๆ มีทั้งห้องอาบน้ำ ห้องส้วม ตลอดจนตู้ซักผ้าแบบหยอดเหรียญอีกด้วย อาตมาเดินไปทางด้านผู้ชายแล้วก็เบรกพรืด เพราะว่ามีทั้งน้าแหม่มและน้องแหม่มสามคนเดินสวนออกมา มองป้ายจนแน่ใจว่าเป็นของผู้ชาย เพราะว่าในรูปแทนตัวนั้นมี “คุณปลัด” อันเบ้อเริ่ม แปลว่าผู้หญิงมาแย่งเข้าทางฝั่งผู้ชาย อาจจะเป็นเพราะด้านโน้นเต็ม และคุณเธอทั้งสามอั้นไม่ไหวแล้วก็เป็นได้...

สุธรรม 08-06-2017 17:02

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496915932
รถบ้านสุดหรูที่ต้องขออนุญาต "ลุงฝรั่ง" ถ่ายรูปเอาไว้ดู

ทำธุระเสร็จแล้วก็ออกมาดู “กิจการ” ของที่นี่ ซึ่งน่าจะเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะว่ามีรถ Peugeot ที่บ้านเราอ่านว่าเปอโยต์สีเหลืองคาดน้ำเงิน หน้าตาประมาณรถ MPV หรือว่ารถบ้าน จอดขายอยู่ด้วย..! อีกคันเป็นรถโบราณรุ่นพี่ “รอมิวลุส” ของ “ท่านชายพีระ” จอดโชว์อยู่ รอบข้างมีทั้งสินค้าสะดวกซื้อ เครื่องประดับรถยนต์ อะไหล่รถยนต์ ร้านอาหารและร้านกาแฟ เมื่อเดินออกมาข้างนอก ก็เห็นป้ายแสดงราคาน้ำมันแบบดิจิตอล ซึ่งบอกราคาน้ำมันไว้ ๖ ชนิด S/plomb 98 ราคาแพงที่สุด ลิตรละ ๑.๖๘๐ ยูโร ส่วน GPL ถูกที่สุด ลิตรละ ๐.๙๖๐ ยูโร ส่วนน้ำมันดีเซลราคาอยู่ที่ลิตรละ ๑.๔๕๐ ยูโร...

หัวจ่ายน้ำมันอยู่ใต้หลังคายาวเหยียดหลายหัว เป็นแบบบริการตัวเอง มีรถจอดเติมอยู่สองคัน เป็นรถบ้านโคตรหรู สวยจนต้องขออนุญาตเจ้าของถ่ายรูปเอาไว้ดู น่าเสียดายที่ไม่ได้สนิทสนมกัน ไม่อย่างนั้นจะขอเปิดดูด้านในว่ามีอะไรบ้าง แต่จากขนาดประมาณมินิบัสของบ้านเรา คาดว่ามีทั้งห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัวด้วยอย่างแน่นอน “ลุงฝรั่ง” เจ้าของรถในเสื้อยืดคอปกสีน้ำตาลแดงคาดดำ เติมน้ำมันดีเซลไป ๑๓๗.๙๕ ลิตร เจอไป ๒๐๐.๐๓ ยูโร ดึงเอาใบเสร็จจิ๋วออกจากเครื่อง แล้วเดินไปจ่ายเงินที่ “ตู้” ซึ่งมีเครื่องรับและทอนเงินอัตโนมัติ...

รถส่วนใหญ่มาจอดพักเข้าห้องน้ำ หรือกินอาหารดื่มกาแฟกัน หลายคันทั้งรถเก๋งและรถตู้มีจักรยานห้อยท้ายมาด้วย อีกด้านหนึ่งมีที่ล้างรถอัตโนมัติ เป็นเครื่องฉีดน้ำ ฉีดโฟมและแปรงหมุนอัตโนมัติสามด้าน คือบนและซ้ายขวาของรถที่เข้าไปใช้บริการ เสียดายที่ไม่มีใครมาล้างรถสักคัน ไม่อย่างนั้นจะได้ดูระบบการทำงานของเขาสักหน่อย ด้านหน้าสถานีมีป้ายบอกทางขนาดใหญ่สีฟ้า ระบุว่าข้างหน้าเป็นวงเวียน ถ้าจะไป PARIS – LYON ให้ไปตามทางด่วนสาย A36 ส่วนอีกสี่เส้นทางที่เหลือนั้น งดใช้ไปสองเส้นทาง แปลว่าถ้าใครเลี้ยวผิด อาจจะต้องวิ่งอ้อมเมืองไปทั้งเมืองกว่าจะหาทางย้อนกลับมาที่เดิมได้...

สุธรรม 09-06-2017 02:28

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496949941
ความหล่อช่วยได้..!

เสียงกระหึ่มของ Big Bike สองคันเรียกสายตาของพวกเราไปรวมกัน สิงห์มอเตอร์ไซค์ในชุดหนังสีน้ำเงินคาดเหลือง ใส่หมวกนิรภัยครบครัน นำรถไปจอดที่หน้าประตูกระจกของร้านสะดวกซื้อ แล้วถอดหมวกเดินเข้าร้านไปทำภารกิจของตนเอง แต่ที่เรียกสายตามากกว่าก็คือ “รถสามล้อ” ที่สวยโคตร ๆ มีเบาะนั่งแบบเอนเกือบจะนอนอยู่ที่ช่วงเครื่องยนต์ ล้อหลังทั้งสองใหญ่เท่ากับล้อรถเก๋งทั่วไป แต่ด้านหน้ารถเป็นแฮนด์สูงหน้าตาออกไปทางฮาร์เล่ย์ เดวิดสัน สองข้างเบาะนั่งและหลังล้อหน้า มีโครงเหล็กนิรภัยช่วยป้องกันเวลารถคว่ำ สวยสะดุดตาขนาดท่านประธานรุ่นทดลองนั่งดู แต่หุ่นท่านไม่ใหญ่แบบฝรั่ง เลยเหมือนชะนีโหนกิ่งไม้มากกว่า..!

แต่พอคุณโอ๋ซึ่งเจรจากับเจ้าของรถอยู่พักหนึ่ง จับมือตบหลังตบไหล่กันเสร็จ ก็มาทดลองนั่งดูบ้าง กลับกลายเป็นหนังคนละม้วน เพราะว่าดูหล่อและเท่มาก แสดงว่ารถแบบนี้เหมาะกับคนรูปหล่อหรือตัวสูงใหญ่เท่านั้น ใครที่รูปไม่หล่อ เกิดหน้าน้ำน้อยหรือประเภทขาดสารอาหาร อย่าได้พยายามทดลองหรือว่าหาซื้อมาขี่เป็นอันขาด นอกจากจะเปลืองเงินโดยใช่เหตุแล้ว ยังจะกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในด้านเสีย ๆ หาย ๆ ไปอีกนาน เป็นนายแบบให้พวกเราถ่ายรูปกันเสร็จ มัคคุเทศก์รูปหล่อก็นิมนต์ขึ้นรถ อาตมาขึ้นไปได้ก็ถอดอังสะกันหนาวออก พับเก็บใส่กระเป๋าโน้ตบุ๊กเพราะว่าเริ่มร้อนแล้ว...

พอมัคคุเทศก์ของเราสั่งให้ออกรถ นายสันโดษที่ยังไม่ยอมกดปุ่มปิดประตูสักทีก็ท้วงว่า “Two more” เล่นเอาพวกเราหลายคนอัศจรรย์ใจ เพราะว่านาน ๆ ทีดอกพิกุลถึงจะยอมร่วง สักพักหนึ่งก็เห็นว่า “อีกสอง” ที่ว่าคือท่านอาจารย์คณบดีกับหลวงพ่อพระครูเลิศ เพิ่งจะเดินออกมาจากร้านกาแฟ ทำเอาอาตมาอยากจะเขกกบาลตัวเอง ย้ายที่นั่งเพื่อถ่ายรูปบ่อยไปหน่อย จนลืมไปว่าคู่นั่งที่แท้จริงของอาตมาก็คือท่านอาจารย์คณบดี แทนที่จะทักท้วงเป็นคนแรกกลับลืมท่านไปเลย นี่ถ้าพลขับหน้าตายออกรถทิ้งท่านไป มีหวังอาตมาโดนพรรคพวก “เผา” เรื่องนี้ไปอีกนาน...

สุธรรม 09-06-2017 13:26

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1496989370
เกษียณเมื่อไรยังหากินทางนักร้องได้

รถของเราวิ่งผ่านผืนป่าที่มีไม้สนเป็นส่วนใหญ่ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐคงจะเหงาปาก เมื่อเห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อไม่ได้บรรยาย จึงขอไมโครโฟนมาใช้งานแทน พวกเราที่เห็นก็รู้ท่า ต่างพากันขอเพลงอุตลุด จนกระทั่งท่านอาจารย์ต้องใช้อำนาจเผด็จการ ประมาณว่า “ตามใจผู้จัด ขัดใจผู้ฟัง” ขึ้นเพลงหากินประจำตัวมาก่อนเลย...

“บ้าน...พี่อยู่สุโขทัย เพราะบ้านพี่ไฟไหม้ ขอลามาไกลทิ้งถิ่น ดั่งคนจรขาดที่นอนที่อยู่ที่กิน เปรียบเหมือนเป็นเช่นนกขมิ้น ยุพินจงโปรดเห็นใจ...

พี่...เสี่ยงโชคด้วยน้ำตา เหมือนคนไม่มีค่า ทุกวันเวลาร้องไห้ พี่คนจนสู้อดทนเที่ยวเร่ร่อนไป เดินหางานไกลใกล้ จงเห็นใจคนอกตรม...

จาก...ดวงใจคนไร้รังนอน ขอทรามวัยใจอ่อน อุ้มชูให้อยู่สุขสม ปลอบใจยามเศร้า ยามหนาวให้มีผ้าห่ม อย่าทิ้งให้ “เชฐ” ขื่นขม ระทมเหมือนสุโขทัย...ฯลฯ”

สุธรรม 10-06-2017 03:42

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497040754
แทนที่จะล่าหมูป่าหรือกวาง ดันมาหาปลากลางถนนในป่าซะนี่..!

ฟังเสียง “พิเชฐ ลูกสุโขทัย” ร้องเพลงเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอนได้ไม่นาน ก็มาถึงด่านเก็บเงินขนาดใหญ่ รถติดกันหนุบหนับทีเดียว ผ่านด่านไปได้ก็ใช่ว่าจะเคลื่อนตัวได้คล่อง ยังคงต้องคลานตามกันไปช้า ๆ “ล้นเกล้าฯ เผ่าไทย ศูนย์รวมใจของไทยทั้งชาติ ขออภิวาท เบื้องบาทองค์ภูมิพล ยามใดไพร่ฟ้า ชาวประชายากจน ทรงห่วงกังวล ดั่งหยาดฝนชโลมพื้นหล้า..ฯลฯ” รถเคลื่อนตัวคล่องขึ้น ยังคงผ่านพื้นที่ป่าและเขา มีป้ายระวังกวางข้ามถนน บอกระยะทางไว้ด้วยว่าตลอด ๑๔ กิโลเมตร ถัดไปจากนั้นเป็นป้ายระวังทั้งหมูป่าและกวางข้ามถนน...

ช่วงนี้ให้ใช้ความเร็วได้ ๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าหากว่าเป็น ๙๐ ไมล์ ก็จะได้ความเร็วถึง ๑๔๔ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ “พี่คิดถึงเธอเหมือนใจจะขาด อนาถใจนัก พิษแห่งความรักบีบคั้นดวงใจ...ฯลฯ” เงาเสียงไพรวัลย์ ลูกเพชร ยังคงทำหน้าที่ต่อไปชนิดไล่ก็ไม่เลิก “ร้องเพลงนี้แล้วคิดถึงลานอโศกหน้า มจร.วัดมหาธาตุฯ เป็นแหล่งที่พวกเรานั่งคุยกัน ฉันน้ำปานะกันในยามว่างจากการเรียน พอย้ายไป มจร.วังน้อย มีแต่ต้นตาล ต้นปาล์มที่เขาเอามาจัดสวน หาความร่มไม่ได้ ใครไปนั่งก็คงร้อนตับแตก ต้องแช่อยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ทำให้เปลืองไฟหนักมาก” ไปนินทาที่ทำงานแบบนี้ ระวังโดน “ปูนหมายหัว” นะครับ...

รถมาติดหนึบอีกที กว่าที่จะผ่านไปได้ก็เสียเวลาตั้งนาน สาเหตุมาจากการซ่อมพื้นถนนที่ชำรุดของกรมทางหลวงฝรั่งเศส พ้นไปก็เจอป้ายบอกระยะทาง Paris 425 Lyon 235 Dijon 75 และ Dole 40 ของทางหลวงสาย A 36 และ E 60 แปลว่าเราต้องนั่งรถไฟ TGV จากดีจองไปปารีสเป็นระยะทาง ๓๕๐ กิโลเมตร “ไอ้หนุ่มตังเกร่อนเร่หาปลา ล่องลอยนาวา เห็นน้ำกับฟ้าเป็นเพื่อน ลากอวนจับปลากลางทะเล นอนบนตังเกแรมเดือน ผิวคล้ำดำเปื้อน...คาวปลา...ฯลฯ” มีแต่ป้ายบอกให้ระวังหมูป่ากับกวาง พ่อไพรวัลย์ดันมาหาปลาบนถนนกลางป่าแบบนี้ จะมีหวังได้กินไหมหนอ ?

สุธรรม 10-06-2017 22:17

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497107586
ฟังเพลงจบเดียวจาก ๗๕ ก.ม. เหลือแค่ ๖๐ ก.ม. เท่านั้น..!

“หอมเอย...หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง มองเห็นบัวสล้าง ลอยปริ่มริมบึง...ฯลฯ” ฟังเพลงเพลิน ๆ ก็ทำให้ระยะทางผ่านไปไม่รู้ตัว “ไอ้หนุ่มตังเก” หาปลาบนถนนไม่ประสบความสำเร็จ เห็นภูมิประเทศเป็นป่ามากกว่า “มนต์รักลูกทุ่ง” จึงตามมาติด ๆ ตอนที่ป้ายบอกระยะทาง Dijon 60 เฮ้ย...เป็นไปไม่ได้ เพลงหนึ่งประมาณ ๓ นาที นายสันโดษแกวิ่งมา ๑๕ กิโลเมตร แปลว่าใช้ความเร็ว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง Oh…no…I can’t believe..! “อย่าขี้สงสัยสิครับ ฝีมือพวกผมเอง” เสียง “ลุงหนวด” เฉลย แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือลุง ?

พรรคพวกยังไม่มีใครรู้ตัวสักคน ว่าโดนมัคคุเทศก์ล่องหนกับคณะเล่นกลย่นระยะทางซะแล้ว ยังคงเพลิดเพลินเจริญใจกับเสียงของ “พิเชฐ ลูกสุโขทัย” ที่ปล่อยเงาเสียงไพรวัลย์ ลูกเพชรออกมาเป็นชุด เหตุที่ชอบเพราะว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับ สว. ทั้งนั้น ทันเสียงเพลงและบรรยากาศในยุค “แก่ ๆ” กันทุกคน “ว่างจากงานหว่านไถ จะร้อยมาลัยใบข้าว ห้อยคอสาวจำปา เจ้าเป็นเทพธิดา ของบ้านนาบ้านทุ่ง นุ่งผ้าถุงไทยเดิม...ฯลฯ” เสียงเพลง “เทพธิดาผ้าซิ่น” ของเสรี รุ่งสว่าง มาแทนไพรวัลย์ พอถึงตอน “แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ จะบานคอยพระหรือบานคอยเณร ถ้าบานคอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอนเพล...ฯลฯ” เรียกเสียงปรบมือกราวทั้งคันรถ หมาเห็นปลากระป๋องชัด ๆ ฮ่า..ฮ่า..!

รถของเราข้ามแม่น้ำที่ไม่ใหญ่นัก เทพธิดาผ้าซิ่นจบลงที่ป้าย Dijon 35 ช่วงนี้ “ลุงหนวด” ติดจรวดให้ที่ความเร็ว ๕๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีใครสงสัยบ้างเลยหรือนี่ ? “จะมีก็แต่พลขับนั่นแหละครับ แต่เขาก็ไม่ได้มาบ่อยจนชินทาง จึงพอที่จะ “แหกตา” กันไปได้” ฟัง “ท่านนายพล” เฉลยแล้ว ทำให้รู้สึกว่าผีหรือเทวดานี่บางทีก็มีความประพฤติที่ไม่น่าไว้วางใจเท่าไร “ถ้าท่านจะฉันเพลสักบ่ายสองโมง ผมกับคณะก็จะได้ปล่อยให้ไปตามความเร็วปกติครับ” เฮ้ย..นาฬิกาหน้ารถบอกเวลาเที่ยงสองนาทีแล้ว ทุกคนเพลินกับเสียงเพลงจนลืมหิวไปเลยนะนี่...! เอาเร็วกว่านี้ได้ไหมลุง ?

สุธรรม 11-06-2017 04:17

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497129211
เพิ่งเข้าเขตเมืองก็มีเรื่องตื่นเต้นช่วยให้เจริญอาหาร..!

นายสันโดษนำรถเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงสาย A 39 วิ่งยาวไปจนถึงทางแยก A 5 ก็เลี้ยวอีกทีมุ่งไปทาง Dijon นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงครึ่งก็มาถึงด่านใหญ่หน้าเมือง “คุณเอ๋ย...สงสัยไม่เคยมีแฟน ที่จะมาเกี่ยวแขน คู่เป็นแฟนของคุณ เมื่อยามผมจ้อง เห็นต้องหลบชุลมุน สงสัยแท้แม่คุณ จะรอไออุ่นจากใคร...ฯลฯ” พิเชฐ ศรีสุโขทัย มาแทนชาตรี ศรีชล โดยไม่สนใจว่าใครจะผ่านด่านอย่างไร พาหนะของเราวิ่งเข้าไปในเมืองตามทางวันเวย์ ผ่านตึกรามบ้านช่องหน้าตาโบราณ ๆ ที่สูงแค่ ๓ – ๔ ชั้น มีปล่องเตาผิงอยู่บนหลังคา บางบ้านใหญ่หน่อยก็มีถึง ๔ – ๕ ปล่องด้วยกัน...

“เดี๋ยวผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านไปฉันเพลที่ภัตตาคารจีนนะครับ หลังจากนั้นค่อยไปขึ้นรถไฟกัน เฮ้ย..!” มัคคุเทศก์รูปหล่อหลุดเสียงอุทานออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าพลขับของเราเบรกจนแทบหงายหลังฟาดพื้น สาเหตุมาจากเด็กผู้ชายที่อายุน่าจะไม่เกิน ๕ – ๖ ขวบ วิ่งไล่เพื่อนอีกคนลงมาบนถนน ท่ามกลางเสียงร้องหาพระเจ้าของผู้ใหญ่ที่พบเห็น นายสันโดษยกมือขอโทษที่เบรกกะทันหัน มัคคุเทศก์ที่เกือบจะลงไปวัดพื้นรถหัวเราะแหะ ๆ “ตื่นเต้นดีครับพระอาจารย์ จะได้ช่วยให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น” อีตอนนี้ก็หิวแทบจะแทะรถลงไปทั้งคันแล้ว ยังจะต้องมาเจริญอะไรกันอี๊ก..!

“ไปไว ๆ หน่อยได้ไหมโอ๋ ?” พระครูญาณฯ ที่กลืนน้ำลายขอร้องมา “เด็ก ๆ ช่างสวยเหลือเกิน ขืนอยู่นาน ๆ คงได้ตกหลุมรักซัก ๔ – ๕ หน ช่วยบอกให้มาร์โกขับเร็ว ๆ หน่อย มันทรมานใจมาก” น่าน...ไอ้วอกออกไปถึงโน่น นึกว่าเร่งเพราะหิวข้าว “หลบ ๆ ลงไปหน่อย ขายหน้าคนอื่นเขา” องปลัดเอามือตบ “หัวงู” ของพระครูญาณฯ ให้มุดกลับไปตามเดิม อีกฝ่ายเลยถองพลั่กเข้าให้ เพราะรู้ว่าเพื่อนแกล้งตบกบาลเล่น..! ขณะที่มัคคุเทศก์รูปหล่อโทรศัพท์ถึงร้านอาหาร แจ้งว่าคณะของเรามากันแล้ว อีกประมาณ ๕ นาทีจะไปถึงที่ร้าน ให้เตรียมออกอาหารได้เลย...

สุธรรม 11-06-2017 15:33

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497169753
บ้านตระกูลเฉิน...ไม่ทราบว่า "แจ๊กกี้" อยู่ไหมครับ ?

บ้านเมืองเขาดูสงบน่าอยู่มาก ตามตึกต่าง ๆ มีป้ายเล็ก ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็มองไม่เห็น บอกว่าเป็นร้านหมอบ้าง ระวังเด็กข้ามถนนบ้าง ป้ายหนึ่งเป็นดิจิตอลบอกว่าอากาศขณะนี้อยู่ที่ ๓๑ องศาเซลเซียส นายสันโดษนำรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถหน้าป้าย Office de Tourisme พวกเรากรูกันลงจากรถด้วยความกระฉับกระเฉง แสดงว่าความหิวช่วยให้ตื่นตัวกันมาก บรรดานักปฏิบัติธรรมถึงได้ปล่อยให้ตนเองอยู่ในสภาพ “กึ่งหิว” อยู่เสมอ สติสมาธิจะได้จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้าได้ง่าย...

ลงจากรถได้คุณโอ๋ก็พาเดินตรงไปข้างหน้า มีท่านไพฑูรย์กับพระครูปรีชาตามไปติด ๆ อาตมาตามไปเป็นคนที่สาม ข้ามถนนซอยที่ฝั่งตรงข้ามเป็นสวนสาธารณะ มีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่ง กลิ่นหอมมากเสียด้วย เลาะตามกำแพงตึกไปประมาณ ๓๐๐ เมตร ก็พาข้ามถนนอีกครั้ง คราวนี้เดินไปนิดเดียวก็เป็นร้านอาหารจีน ชื่อ Hua Xing มีหนังสือระบุไว้ด้านล่างว่า "บ้านตระกูลเฉิน" ไม่ทราบว่าเฉินหลงอยู่หรือเปล่า ?

มัคคุเทศก์รูปหล่อผลักประตูเข้าไป ส่งเสียง "หนีห่าว" นำไปก่อน อาเจ๊หน้าตาจริงจังมากในชุดดำรีบออกมาต้อนรับ บอกว่าทำอาหารไว้นานจนเย็นหมดแล้วทำไมเพิ่งจะมาถึง ? เมื่อถามว่าเป็นโต๊ะไหนบ้าง ? อาเจ๊ก็ชี้ให้ดู พระครูปรีชาไม่สนใจเรื่องอาหาร หากแต่ตรงไปหาห้องน้ำก่อน โดยมีอาตมาตามไปติด ๆ ห้องน้ำมีแค่ ๒ ห้อง เป็นชายห้องหญิงห้อง พระครูปรีชายังลังเลว่าเปิดอย่างไร อาตมาจึงเดินแซงเข้าไปก่อน แต่ดันไปเข้าห้องซ้ายซึ่งเป็นของผู้หญิง จึงโดนอาเจ๊ประท้วงจนต้องเผ่นมาเข้าห้องตรงกันข้าม ข้างในมืดตื๋อเลย แต่เรื่องแบบนี้มืดแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหากับคนอื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ตอนออกมาจึงมองหาสวิทช์ไฟแล้วเปิดทิ้งไว้ให้เขาด้วย...

สุธรรม 12-06-2017 04:08

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497215088
เอาของที่ทำไว้จนเย็นหมดแล้วไปก่อน

กลับมาที่โต๊ะอาหาร นั่งลงข้างพระครูปรีชา บนโต๊ะมีอาหารเย็น ๆ วางอยู่สามจาน มีหมูสามชั้นผัดเห็ดหูหนูน้ำแดง ไก่ผัดหน่อไม้เห็ดหูหนู และถั่วหน้าตาเหมือนกับถั่วฝักยาว แต่ฝักสั้น ๆ ผัดน้ำมัน หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ งัดเอาข้าวไข่ดาวของเมื่อเช้านี้ขึ้นมาวางเพิ่มไปด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อยกเอาซีอิ๊วพริกขี้หนูกับน้ำพริกตาแดงมาให้ ขณะที่อาหมวยคนหนึ่งยกปลาหิมะนึ่งบ๊วยมาอีกจาน พวกเราจึงแบ่งข้าวจากกล่องของหลวงพ่อเจ้าคุณฯ กันคนละนิดหน่อย แล้วโซ้ยกันชนิดที่ไม่ต้องฟังเสียงใคร เพราะว่าหิวจนตาลายแล้ว ผัดเนื้อไก่น้ำขลุกขลิกตามมาด้วยเต้าหู้ผัดหอมหัวใหญ่ จากนั้นข้าวสวยจึงมาถึง...

ท่านไพฑูรย์ตักข้าวแจกรอบวง อาเจ๊ยกเอาแกงจืดมาชามใหญ่ เป็นแกงจืดที่จืดจริง ๆ เพราะว่านอกจากผักปวยเล้งแล้ว พระครูกล้าควานจนถึงก้นชามก็ไม่เจออะไรเลย..! จึงตักส่งให้ชามที่ยื่นมา รอบด้าน อาตมากวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วคว้าขวดเปล่าเข้าห้องน้ำ หวังจะกรอกน้ำใส่ขวด แต่ก๊อกน้ำที่นี่เตี้ยมาก ทำให้กรอกไม่ได้ ต้องออกมาด้วยความผิดหวัง พอดีเห็น "ปิงสุ่ย" ที่มัคคุเทศก์รูปหล่อสั่งมาให้ขนาดขวดละลิตรครึ่ง ขวดที่โต๊ะของอาตมาเปิดแล้ว แต่มีคนเทไปนิดเดียว ส่วนใหญ่หันไปซดน้ำชากันมากกว่า อาตมาจึงคว้าน้ำแช่เย็นมากรอกใส่ขวดจนเต็ม พลางบอกกับท่านอื่น ๆ ว่าใครมีขวดให้กรอกที่เหลือไปด้วย...

หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ชวนพระครูด็อกเตอร์เดินกลับไปที่รถกันก่อน อาตมาซึ่งเดินตามไปเป็นเพื่อนทั้งคนแก่ทั้งคนพิการ จึงได้ฟังวีรกรรมที่พระครูด็อกเตอร์เสียขา เพราะว่าไปเจอคนบ้าสถาบันเอาปืนจ่อหัว ท่านปัดทิ้งจึงลั่นไปโดนขา ตามมาด้วยการปัดครั้งที่สองโดนไปที่กลางหลังอีกนัด นัดนี้แหละที่ไปตัดเส้นประสาททำให้เสียขามาจนทุกวันนี้ แต่ยังโชคดีที่ท่านคว้าขวดโซดาฟาดหัวนักเรียนนักเลงสลบเหมือดไปก่อน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะถึงตาย..!

สุธรรม 12-06-2017 15:59

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497257692
ส้วมสาธารณะแบบหยอดเหรียญ

นายสันโดษไม่อยู่ ไม่รู้ว่าไปกินอาหารกลางวันอยู่ที่ไหน พวกเราจึงต้องยืนรอกันอยู่ที่ข้างรถ อาตมาเห็นห้องส้วมสาธารณะหยอดเหรียญ จึงเดินไปดูด้วยความสนใจ แต่พระครูชินฯ ที่ตามมาไม่ได้สนใจเฉย ๆ หากแต่ควักเหรียญลองหยอดดูด้วย แต่เครื่องคืนเหรียญกลับมาให้ กำลังสงสัยอยู่ประตูส้วมก็เปิดออก มีฝรั่งตัวเบ้อเริ่มเดินออกมา..! ที่แท้ก็มีคนอยู่นี่เอง ระบบจึงปฏิเสธคนใหม่ อาตมาแยกตัวไปจะถ่ายรูปรถรางไฟฟ้า ที่ยาวถึง ๔ ช่วงรถเมล์ทั่วไป ซ้ำยังเป็นสีม่วงชมพูสดใส กำลังยืนรอรถรางคันต่อไปอยู่ก็มีชายคนหนึ่งถือกิ่งไม้ที่มีใบสดติดอยู่ทั้งกิ่ง พาเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบตรงเข้ามาหา...

ด้วยความที่สมัยวัยรุ่นคลุกคลีกับเพื่อนอิสลามมามาก พอเห็นคนถือกิ่งไม้มาในลักษณะนี้ ก็รู้ทันทีว่าเป็นเพื่อนชาวอิสลามที่กำลังมาขอความช่วยเหลือ อาตมาจึงรีบทักทายก่อนว่า "อัสสะลาม มุลัยอากุม" ชายคนนั้นทรุดตัวลงแปะติดพื้น ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร พลางตอบว่า "มุลัยอากุม อัสสะลาม" อาตมาถามเขาว่า พระอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่มีพระประสงค์สิ่งใดจึงส่งเขามา เขาบอกเป็นภาษาอังกฤษปนเซิร์บพอเดาได้ว่ากำลังอดอาหาร ตัวเขาพอจะทนได้ แต่สงสารลูกชายที่ยังเล็กอยู่ จึงต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ ไม่นึกว่าจะพบกับผู้ศรัทธาในพระอัลเลาะห์ด้วยกัน อาตมาจึงควักธนบัตรใบละ ๑๐ ยูโรส่งให้ลูกชายเขา ๑ ใบ...

เขาดึงลูกชายเข้ามาใกล้ ทั้งสองคนกอดอาตมาไว้ ร้องสรรเสริญคุณพระอัลเลาะห์พลางร้องไห้พลาง อาตมาบอกซ้ำไปว่า "อัลร็อซซาก" แต่มือขวากดกระเป๋าจิงโจ้เอาไว้ "จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระวังคนไม่อาจจะละเลย" ถึงอย่างไรก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน อีกฝ่ายทาบมือไว้กับอก น้อมตัวรับคำที่ว่า “พระผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ” ของอาตมา เขาบอกปนสะอื้นว่า ตนหนีมาจากสงครามที่โคโซโว เขาทำท่ายิงปืนประกอบ การฆ่ากันไม่ใช่คำสอนของพระอัลเลาะห์ ตนจึงต้องหนีมาตายดาบหน้า ร่อนเร่มาหางานทำที่นี่ เพื่อนมุสลิมช่วยหางานให้ แต่รัฐบาลฝรั่งเศสปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหา นายจ้างก็ให้ตนออกจากงาน รบกวนเพื่อนมุสลิมจนเกรงใจเขามาก เพราะทุกคนก็ลำบากเหมือนกัน...

สุธรรม 13-06-2017 03:02

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497297530
สองพ่อลูกอิสลามที่มาขอความช่วยเหลือ

พยายามหางานทำก็ไม่มีใครยอมรับ วันนี้เงินหมด..กำลังอดอาหาร ตนเองอดนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกที่กำลังโตต้องมาอดด้วย ตนเองทำใจไม่ได้ จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากบรรดานักท่องเที่ยว ซึ่งก็มีแต่คนปฏิเสธ คิดว่าเขาเป็นขอทาน กำลังอับจนไม่เห็นหนทาง พอดีเห็นคณะของอาตมา รู้ว่าเป็นนักบวช ต้องมีเมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ จึงหักกิ่งไม้มาขอความช่วยเหลือ ไม่นึกว่าพระอัลเลาะห์จะทรงเมตตาขนาดนี้ ทรงบันดาลให้นักบวชคนละศาสนา เข้าใจในพระประสงค์ของพระองค์ ซ้ำยังทักทายตามธรรมเนียมอิสลามอีกด้วย...

อาตมาถามเขาว่าภรรยาอยู่ที่ไหน ? เขาฟังไม่เข้าใจ อาตมาจึงชี้ไปที่เด็ก ถามว่าแม่ของเด็กอยู่ที่ไหน ? เขาบอกว่าตายในสงคราม แล้วหันไปพูดกับลูกชายเป็นภาษาเซิร์บ เด็กชายเปิดกระเป๋าสะพาย ค้นเอากระดาษออกมากำหนึ่ง แต่ทุกใบมีแต่ภาษาอังกฤษไม่ก็ภาษาอารบิก ไม่มีใบไหนว่าง ชายคนนั้นทำท่าใบ้ให้อาตมารออยู่ที่นี่ ตนเองวิ่งไปที่ร้านอาหารใกล้ ๆ หายเข้าไปข้างใน อาตมาถามเด็กชายว่า "เธอชื่ออะไร ?" เด็กฟังภาษาอังกฤษไม่ออก อาตมาจึงยกมือทาบอกตัวเอง พูดช้า ๆ ว่า "อาตมาชื่อสุธัมมะ เธอชื่ออะไร ?" เด็กชายทำท่าเข้าใจ ตอบว่า "ซีดาน" พอดีกับผู้เป็นพ่อเอากระดาษสำหรับจดรายการอาหารวิ่งมาถึง ทำท่าใบ้ว่ามีปากกาหรือไม่ ? อาตมาไม่อยากให้เรื่องยาว จึงแบมือตอบว่า "น็อง" พระครูชินฯ ที่ไม่เข้าใจ ดันควักปากกาส่งมาให้เสียนี่...

อาตมาจึงต้องเขียนที่อยู่ของตนเองให้กับเขา เขียนไปก็ระวังไปด้วยว่า นี่อาจจะเป็นลีลาของมิจฉาชีพ ที่หลอกให้คนขาดความระวังตัว แล้วอาจจะล้วงกระเป๋าเอาก็ได้ พอส่งที่อยู่ให้ เขาเอาไปทาบกับหัวใจ บอกกับซีดานว่า "ท่านสุธัมมะมีคุณอันยิ่งใหญ่ ช่วยชีวิตปาปากับลูกไว้ เราต้องจดจำและสวดขอพรพระอัลเลาะห์ให้แก่ท่านทุกวันนะลูก" อาตมาถามว่า "คุณชื่ออะไร ?" เขาตอบว่า "ซีนัส" อาตมาเตือนว่า "รีบพาลูกไปกินอาหารเถอะ” ซีนัสทำท่าอยากคุยต่อมากกว่า อาตมาจึงถามว่า จะขอถ่ายรูปเขากับลูกได้หรือไม่ ? เขาพยักหน้ารับด้วยความยินดี อาตมาจึงส่งกล้องให้พระครูชินฯ ซีนัสกับซีดานเข้ามากอดอาตมาคนละข้าง แน่นอน..มือของอาตมายังกุมอยู่ที่กระเป๋าส่วนตัว เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว อาตมากล่าวกับซีนัสว่า "พระอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่และประเสริฐสุด แล้วพบกันใหม่ตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า"...

สุธรรม 13-06-2017 16:01

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497344249
ดักถ่ายรูป "กิ้งกือสีชมพู" จนได้

ซีนัสน้ำตาไหลอีกครั้ง กลั้นสะอื้นกล่าวว่า "พระอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าเชื่อแล้วที่พระองค์ตรัสว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน จะเป็นพระพุทธ พระคริสต์ พระแม่มาเรีย ก็ทรงเมตตา ยิ่งใหญ่และประเสริฐสุดเช่นเดียวกัน" แล้วทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง เอามือขวาทาบหัวใจ น้อมตัวก้มหัวให้ เป็นการทำความเคารพอย่างสูงสุดสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่พระเจ้า แล้วจูงซีดานเดินเข้าร้านอาหารไป...

"นี่คือ “เจ้าหนี้เก่า” ใช่ไหม..ท่านนายพล ?" “ลุงหนวด” ตอบว่า "ถูกต้องแล้วครับ ข้างหน้ายังมีอีก" เห็นพระครูโจกำลังถ่ายรูปหลวงพ่อพระครูชุบกับ "กิ้งกือสีชมพู" อาตมาจึงถ่ายบ้าง แล้วเดินกลับไปที่รถ กำลังบอกเรื่องราวแก่พระครูชินฯ ที่ถามเรื่องของซีนัสอยู่ มัคคุเทศก์รูปหล่อก็นิมนต์ทุกรูปให้ขึ้นรถ ซึ่งครั้งนี้มากันพร้อมอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทำเอามัคคุเทศก์ของเราต้องขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า...

นายสันโดษนำรถตรงไปสถานีรถไฟลา ดีจอง คุณโอ๋นำทุกคนเข้าไปยังห้องพักผู้โดยสาร ที่เขาสร้างได้เอื้อเฟื้อมาก มีเก้าอี้ทั้งนั่งสูงนั่งต่ำ ตลอดจนโต๊ะทำงานที่มีปลั๊กไฟให้ด้วย “ต้องรอที่นี่ไปก่อนนะครับ จนรถไฟใกล้จะมาเขาจึงจะประกาศบอกว่าเข้าชานชาลาไหน พระอาจารย์ทุกรูปมีเวลาประมาณ ๓๐ นาที จะไปถ่ายรูปหรือเดินดูข้าวของอะไรก็ได้ ให้กลับมาก่อนเวลา ๑๓.๓๐ น.นะครับ”

สุธรรม 14-06-2017 03:23

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497384764
ถ่ายรูปกับรถไฟความเร็วสูง

อาตมาเดินตรงแน่ว "ตามกลิ่น" ไปยังห้องน้ำ ที่นี่มีโถปัสสาวะให้ ๔ โถ แต่ห้องส้วมต้องหยอดเหรียญจึงเข้าได้ อาตมาจึงต้อง "ยืนฉี่" แทน เสร็จแล้วออกมาถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ไว้ ทั้งถังขยะแบบใส ป้ายสัญลักษณ์สารพัดรูปแบบ เครื่องแลกเงินอัตโนมัติ เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ เด็กน้อยผิวดำคนหนึ่งเบิ่งตาโต ๆ มองอาตมาพลางสะกิดแม่ อาตมาโบกมือทักว่า "บงชูร์" เจ้าหนูอายม้วนไปเลย...

กลับมาถึงห้องพักผู้โดยสาร บอกกับทุกท่านว่า มีห้องน้ำอยู่ทางด้านโน้น พอดีเห็นท่านอาจารย์ ดร.วันชัยกำลังถ่ายรูปท่านไพฑูรย์กับรถไฟที่ด้านนอกห้องพัก พระครูปรีชากำลังเข้าไปสมทบ อาตมาบอกกับสมุห์สุมิตรที่นั่งใกล้ประตูว่า "ผมจะออกไปถ่ายรูปกับรถไฟ ถ้ามาเคาะประตูก็ช่วยเปิดให้ด้วยนะครับ" เพราะว่าประตูบานนี้เปิดจากข้างในได้อย่างเดียว เปิดจากข้างนอกเข้ามาไม่ได้ ว่าแล้วก็มุดออกไปอีกคน...

ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยช่วยถ่ายรูปพวกเราให้ เสร็จแล้วกลับมาเข้าห้องพัก อาตมาไม่ได้เคาะประตูตามที่ตกลงกันเอาไว้ เพราะเห็นว่าประตูถัดไปที่อยู่ไม่ไกลนักเปิดเข้าออกได้ จึงเดินไปเข้าจากทางด้านนั้น มาถึงก็เห็นท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐกำลังถ่ายทำวิดีโอ ด้วยการสัมภาษณ์พระครูกล้า ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกฝาถูกตัวแล้ว เพราะว่าพระราชทินนามของท่านคือ "วาทีวรวัฒน์" บอกชัดว่าถนัดในการพูด กำลังยืนมองการถ่ายทำอยู่ อยู่ ๆ นกพิราบตัวหนึ่งก็บินปร๋อเข้ามาในห้องพักผู้โดยสาร แล้วเดินอาด ๆ หาของกินตามพื้นดินแบบไม่กลัวใครเลย อาตมาจึงหันไปถ่ายรูปนกพิราบแทน...

สุธรรม 14-06-2017 19:02

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497441517
รถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศส หน้าตาน่าใช้บริการมาก

มัคคุเทศก์รูปหล่อประกาศเรียกทุกรูปให้ไปรอขึ้นรถไฟที่ชานชาลา I พวกเราจึงเดินตามกันเป็นงูกินหางลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน แล้วเดินไปตามทางอุโมงค์ยาว ๆ ที่มีป้ายโฆษณามากมาย แต่ป้ายที่ต้องการคือป้ายบอกทางนั้น กลับแผ่นเล็กไปหน่อย แต่ก็บอกว่าสำนักงาน ลานจอดรถ ห้องเก็บกระเป๋า และชานชาลาต่าง ๆ ไปทางไหนบ้าง ซ้ำยังมีเครื่องกดเงินอัตโนมัติอีกด้วย จนกระทั่งมาโผล่ยังชานชาลาข้างบน...

เมื่อไปถึงบริเวณชานชาลาสำหรับรอรถไฟแล้ว ตู้ของพวกเราอยู่ในช่วงไหน ดูตำแหน่งได้จากจอภาพที่ติดไว้ใกล้หลังคา มัคคุเทศก์รูปหล่อแจกตั๋วโดยสารให้คนละใบ ของอาตมาเป็นที่นั่งหมายเลข ๖๑ ดูจากราคาที่นั่งละ ๔๗.๕๐ ยูโร เท่ากับ ๑,๙๐๐ บาท รวมทั้งคณะก็เท่ากับ ๕๑,๓๐๐ บาท งานนี้ทางบริษัทรีเจนซี่ทัวร์จะมีกำไรหรือขาดทุนกันแน่ ?

อาตมาเห็นรถไฟด่วนจอดเทียบอยู่ทางด้านหลังขบวนหนึ่ง จึงชวนท่านอาจารย์คณบดีไปผลัดกันถ่ายรูป เมื่อกลับมารอยังที่เดิม เหลือบเห็นแหม่มสาวอวบอั๋นรายหนึ่ง กำลังยกกล้องส่องมาทางอาตมา จึงโบกมือแล้วยืนนิ่งให้เธอถ่ายรูป อีกฝ่ายยิ้มดีใจที่อาตมาไม่ว่า ซ้ำยังเต็มใจให้ถ่ายอีกด้วย กดชัตเตอร์แล้วร้องขอบคุณว่า "แม็กซิ" พลางเปิดภาพยื่นให้เพื่อนชายดู...

สุธรรม 15-06-2017 02:29

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497468289
สาวฝรั่งเศสขอถ่ายรูปด้วย

เมื่อเห็นว่าเธอมีเพื่อนชายมาด้วย อาตมาจึงบอกให้เธอถ่ายรูปคู่กับอาตมาก็ได้ แต่อย่ากระทบถูกอาตมาก็แล้วกัน เธอรีบส่งกล้องให้เพื่อนชาย อาตมาจึงส่งกล้องของตัวเองให้พ่อหนุ่มนั่นช่วยถ่ายให้ด้วย เธอเข้ามายืนเคียงข้างพลางยกมือซ้ายขอเช็กแฮนด์ อาตมาขอโทษ บอกว่าเป็นพระ มีข้อห้าม (Precept) ถูกตัวผู้หญิงไม่ได้ เธอจึงยืนเอียงคอยิ้มน่ารักให้กล้อง เสร็จแล้วขอบคุณอีกครั้งก่อนจะไปเปิดรูปดูผลงาน...

"นั่นแน่..พระครูวิลาศฯ เสน่ห์แรงอยู่คนเดียวเลยนะ.." เพื่อน ๆ ท่านอื่นยืนดูตามปกติ แต่ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐแซวมา อาตมาตอบว่า "ประกาศนียบัตรจากสถาบันภาษา มจร. ของผมไม่ใช่ได้มาเปล่า ๆ ครับ ของผมใช้งานจริงได้ด้วย" ทำเอาเพื่อน ๆ หลายคนตีหน้าเหมือน "คนใบ้อมบอระเพ็ด" ขมเท่าไรก็พูดออกมาไม่ได้..!

๑๔.๒๕ น. รถไฟเข้าสถานีตรงเวลา ถ้าจะจับผิดกันจริง ๆ จากนาฬิกาของทางสถานีก็คือ เลยเวลาไป ๒๐ วินาที..! พวกเรารอจนผู้โดยสารลงหมดแล้ว ก็เดินขึ้นไปเป็นแถว อาตมาดูหมายเลขที่นั่งจากด้านบนระหว่างเบาะ แล้วเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงที่นั่งแถวสุดท้ายจึงเป็นหมายเลขที่ ๖๑ ได้นั่งคู่กับหลวงพ่อพระครูญา เจ้าคณะอำเภอท่ายาง...

สุธรรม 15-06-2017 14:28

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497511489
หลวงพ่อพระครูญานั่งภาวนาทำกำไรไปเรื่อย

เก้าอี้นั่งเป็นชุดสี่ตัวหันเข้าหากัน มีโต๊ะขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง สามารถเปิดขยายให้กว้างขึ้นเพื่อทำงานได้ มีปลั๊กไฟอยู่ด้านข้างให้ด้วย ที่นั่งตรงข้ามเป็นท่านอาจารย์คณบดีกับใบฎีกาวรัญญู จึงผลัดกันถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก...

รถไฟเคลื่อนออกจากสถานี ขณะที่มหานพพลกำลังเครียด เพราะว่าที่นั่งหมายเลข ๒๔ ของท่านมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว “หญิงใหญ่” ส่งตั๋วของตัวเองไปเปลี่ยนให้ พอไปที่นั่งใหม่ก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม เพราะว่าเป็นที่นั่งคู่กับคุณโอเล่ คุณมหาจึงมานั่งแปะกับพระครูชินฯ ไปก่อน รอให้มัคคุเทศก์รูปหล่อมาแก้ปัญหาให้...

อาตมาเอาโน้ตบุ๊กขึ้นมาพิมพ์บันทึกการเดินทาง หลวงพ่อพระครูญามองดูอย่างสนใจ แต่พอเห็นว่าเป็นเรื่องของพวกเรากันเอง ท่านก็หลับตาภาวนาของท่านไป นอกจากลืมตามาส่งตั๋วให้นายตรวจแล้ว ที่เหลือท่านเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว มัคคุเทศก์รูปหล่อเจรจากับนายตรวจเรื่องที่นั่งของมหานพพล ดูท่าว่าจะไม่มีปัญหา เพราะว่ายังคงนั่งคู่กับพระครูชินฯ เหมือนเดิม...

สุธรรม 16-06-2017 02:55

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497556301
ถ้าเปลี่ยนไปใส่สูทก็มีมาดนักธุรกิจเหมือนกันนะนี่

วันนี้เครื่องโน้ตบุ๊กรวนมาก พิมพ์ได้ไม่กี่ตัวก็กระโดดไปบรรทัดใหม่ ต้องคอยดึงกลับมาอยู่เรื่อย ทำให้ไม่ได้มองทิวทัศน์รายทาง นอกจากเวลามืดตื๋อก็รู้ว่ากำลังผ่านอุโมงค์ รู้สึกว่ารถไฟวิ่งไม่เร็วสมกับเป็นรถไฟความเร็วสูงเลย ค่อนข้างจะถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างเสียด้วยซ้ำไป แต่ยังพิมพ์งานได้ไม่เท่าไรเสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อก็บอกว่า "จวนถึงสถานีปลายทางแล้ว พระอาจารย์ทุกรูปเตรียมตัวลงได้แล้วนะครับ" หือม์...เห็นช้า ๆ แท้ ๆ ทำไมถึงเร็วนักวะ ? “เขาวิ่ง ๒๕๐ ก.ม. ต่อ ช.ม.ครับ” พนักงานรถไฟล่องหนเมตตาบอกให้ทราบ...

เก็บเครื่องโน้ตบุ๊กแล้วไปห้องน้ำ เสียงแหบยังไม่พอ ซ้ำยังเริ่มไออีกด้วย จึงขอยาจากคุณโอเล่ ซึ่งมีแค่ยาแก้แพ้กับยาแก้ปวดลดไข้ตามเคย กลืนลงไปพร้อมกับน้ำทั้งขวด แล้วหิ้วกระเป๋ากับขวดเปล่าตามไปต่อแถว เพื่อเตรียมลงยังสถานี Gare de Lyon...

ลงมาถึงด้านล่าง ฉวยโอกาสที่ยังมากันไม่ครบ ส่งกล้องให้พระครูปรีชา ช่วยถ่ายรูปกับรถไฟขบวนที่นั่งมาด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อตรวจนับจำนวนคนแล้ว ก็พาเดินลัดเลาะอ้อมรางรถไฟและหัวรถจักร ย้อนกลับไปนิดหนึ่งก็เลี้ยวซ้าย ตรงนี้เป็นอาคารโครงเหล็ก หลังคาเป็นกระเบื้องสีขาวขุ่น ทำให้แสงสว่างลอดลงมาได้มาก มัคคุเทศก์ของเราแจ้งกับทุกรูปว่า ให้รออยู่ตรงนี้ ถ้าคุณโอเล่ที่คอยปิดท้ายขบวนมาถึง ก็ให้นำไปที่รถคันใหม่เลย ตนเองจะไปติดต่อประสานงานเรื่องเรือล่องแม่น้ำแซนน์ก่อน...

สุธรรม 16-06-2017 12:40

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497591450
เดินไปใกล้นิดเดียว..!

ในเมื่อมีเวลาพวกเราจึงพากันถ่ายรูปกับรถไฟความเร็วสูงเป็นการใหญ่ เมื่อคุณโอเล่ถ่ายรูป “หญิงใหญ่” กับรถไฟความเร็วสูงเสร็จ ก็พาคณะพวกเราเดินออกจากสถานีรถไฟ เลาะข้างสถานีไปยังบริเวณที่จอดรถทัวร์ ซึ่งต้องเดินไปไกลเกือบครึ่งกิโลเมตร ผ่านทั้งห้องน้ำ ผ่านทั้งจุดรวมพล ไปถึงก็เห็นรถทัวร์สีแดงคันแรกติดป้าย Regency Travel หราเลย คนขับหนุ่มหน้าตาดีมากเสียด้วย อาตมากล่าวทักทายด้วยเสียงแหบ ๆ ว่า "บงชูร์" แล้วเอากระเป๋าเก็บบนชั้นวางของ พอนั่งลงก็รู้สึกดีใจ เนื่องจากที่นั่งกว้างกว่ารถของนายสันโดษเยอะ ทำให้ไม่เจ็บสะโพกมากนัก...

ทุกคนขึ้นมากันหมดแล้ว หลวงพ่อพระครูชุบบอกว่า "ช่วยขอให้เขาเปิดแอร์ให้หน่อย" พระครูสันติฯ เห็นอาตมาเสียงแหบกว่าเป็ดตั้งเยอะ คงกลัวว่าอาการจะทรุดหนักไปกว่านี้ ท่านจึงเดินเข้าไปตีใบ้กับพ่อรูปหล่อ ชี้มือไปที่ช่องลมแล้วชี้ไปที่ปุ่มเปิด อีกฝ่ายรีบเปิดเครื่องปรับอากาศให้ ท่านกลับมาพูดด้วยความภูมิใจว่า "ถึงผมจะพูดภาษาของเขาไม่ได้ แต่ผมก็ใบ้ได้ชัดเจนแหละครับ"..ฮ่า..! จะว่าไปแล้วนิสิตปริญญาเอกรุ่นนี้ มากความสามารถกันทุกรูป เพียงแต่จะได้แสดงออกในด้านที่ตนเองถนัดหรือเปล่าเท่านั้น...

นั่งรอกันอยู่พักใหญ่ มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงมาถึง จับไมโครโฟนได้ก็แจ้งข่าวทันทีว่า “กราบขออภัยพระอาจารย์ทุกท่านครับ เนื่องจากว่ามีเวลาเหลือไม่พอที่จะพาทุกท่านไปล่องเรือชมแม่น้ำแซนน์ได้ทันในวันนี้ ผมจึงขอเปลี่ยนแผนมาเป็นการพาทุกท่านไปช็อปปิ้งแทน ส่วนการล่องเรือขอเลื่อนไปเป็นวันอื่นที่เหมาะสมนะครับ” ไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้เกือบจะบ่ายสี่ครึ่งแล้ว ขืนไปล่องเรือในเวลาโพล้เพล้ก็คงจะชมอะไรได้ไม่ถนัดนัก แล้วพรรคพวกส่วนมากก็เป็นบรรดา “ขาช็อป” ทั้งนั้น เอาไป “ปล่อยผี” เสียก่อนก็ดีเหมือนกัน...

สุธรรม 17-06-2017 03:08

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497643493
เขามาเชียร์เทนนิสกันครับ

พลขับรูปหล่อที่เหมือนกับตั้งใจมาประชันความหล่อกับมัคคุเทศก์ของเรา นำรถออกจากลานจอด วิ่งผ่านตัวอาคารที่กำลังก่อสร้าง ส่วนที่มองเห็นชัดที่สุดคือชั้นล่างสุดของตัวอาคาร ที่เป็นเสาประกอบกับวงโค้ง ซึ่งก่อด้วยอิฐแดงอย่างประณีต จนเหมือนกับตั้งใจโชว์แบบสุดฝีมือ รถของเรามาติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกขนาดมหึมา ที่รอบด้านมีต้นไม้ร่มครึ้มเหมือนกับเป็นป่า แสดงให้เห็นถึงการรักษาธรรมชาติได้เป็นอย่างดียิ่ง แล้ววิ่งข้ามสะพานเข้าไปสู่เขตที่อยู่อาศัย ที่อาคารแต่ละหลังเหมือนกับหลุดมาจากภาพยนตร์ยุค “หลุยส์” สวยงามประทับใจจนพวกเราต่างก็ถ่ายรูปเป็นการใหญ่ ผ่านอาคารยุค “หลุยส์” สี่ชั้นขนาดมหึมาซึ่งมีลายปูนปั้นสวยงามมาก ที่หน้าอาคารมีอนุสาวรีย์ทรงม้าหล่อด้วยสัมฤทธิ์เขียว น่าจะเป็นศาลาว่าการกรุงปารีส...

พอเลี้ยวขวามาถึงด้านหน้าศาลาว่าการ ก็เห็นคนเป็นพัน ๆ กำลังรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า “เขามาเชียร์เทนนิสกันครับ” “ท่านนายพล” ชี้แจงแถลงเหตุ นี่ถ้าบ้านเรามีคนตามเชียร์นักกีฬาไทยขนาดนี้ ไม่ว่ากีฬาอะไรเราคงจะไม่แพ้ชาติใดในโลก รถวิ่งผ่านสี่แยกที่การจราจรค่อนข้างหนาแน่น มองเห็นยอดสิ่งก่อสร้างที่มีลวดลายแบบเรอเนสซองส์สวยงาม โผล่พ้นต้นไม้และหลังคาสูงขึ้นไปมาก “นั่นคือโบสถ์นอตเตรอะดามที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศสครับ” บริการของมัคคุเทศก์ล่องหนช่วยแก้ข้อสงสัยได้เป็นอย่างดีที่สุด พาหนะของเราเลี้ยวข้ามสะพานที่มีลวดลายสวยงาม ผ่านเข้าไปพื้นที่อีกเขตหนึ่ง ช่วงนี้มีตัวอาคารเรียงรายกันเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละช่วงก็มีความงามแตกต่างกันออกไป จนอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปไปเรื่อย ผ่านสี่แยกอีกแห่งหนึ่งคราวนี้รถของเราวิ่งเลียบไปกับแม่น้ำ คงจะเป็นแม่น้ำแซนน์ที่เราจะไปล่องเรือกันนั่นเอง...

ริมแม่น้ำเป็นรั้วเหล็กโปร่งที่สูงเกินสองเมตร มีคนนั่งพักอยู่กับขอบรั้วอยู่หลายคน ด้านหลังรั้วส่วนที่เป็นชายฝั่งแม่น้ำ มีต้นไม้ขึ้นเป็นแถวเป็นแนวยาวไปตลอดชายฝั่งช่วงนี้ มาถึงสี่แยกอีกแห่งหนึ่ง อาคารสองชั้นครึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือสวยสุด ๆ ชั้นล่างเป็นประตูโค้ง ๗ บาน เสาประตูแต่ละบานมีรูปปั้นทั้งแบบนูนต่ำและลอยตัวที่สวยงามสุด ๆ ชั้นกลางเป็นเสาแบบกอธิคขนาดใหญ่ที่ค้ำ “ประตู” อีก ๗ บานอยู่ข้างละสองต้น แต่ละบานประตูยังมีเสาขนาดเล็กอีกบานละ ๒ ต้น ข้างบนที่เป็นขอบประตูสูงเป็นเมตรนั้น เจาะช่องวงกลมประดับลวดลาย กลางวงกลมดูไกล ๆ เห็นเหมือนกับรูปปั้นครึ่งตัว ส่วนบนหลังคาซ้ายขวานั้น มีรูปปั้นลอยตัวขนาดใหญ่ที่เป็นสีทองเจิดจ้า มีตัวหนังสือสีทองอยู่ตรงขอบชั้นสองเขียนว่า ACADEMIE NATIONALE DE MUSIQUE “เรียกกันง่าย ๆ ว่า “โอเปร่า เฮ้าส์” ครับ” อ้าว...แล้วทำไมไปเขียนซะยากเลยวะ..?

สุธรรม 17-06-2017 18:13

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497697792
ร้านกว้างเท่าไรไม่รู้ ? แต่ยาวแค่ที่เห็น..!

“ข้างหน้านั่นคือร้านที่ผมพาพระอาจารย์ทุกท่านมาช็อปปิ้งกันนะครับ ชื่อร้านลาฟาเย็ตต์ นับเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในปารีสทีเดียวครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อไม่ได้บอกต่อว่าแพงที่สุดด้วยหรือเปล่า ? พลขับรูปหล่อนำรถเลี้ยวขวาตรงสี่แยกข้างร้าน วิ่งตรงไปจนถึงอีกสี่แยกหนึ่ง จึงเลี้ยวซ้ายอีกที วิ่งตรงไปจนสุดทางก็คือสี่แยกแห่งที่สาม ตรงนี้มีโบสถ์ขนาดใหญ่สวยสง่ามาก แต่เงียบเป็นผีหลอกเลย มีคนเดินอยู่แถวนั้นแค่สามสี่คน “ส่วนมากเขาไปช็อปปิ้งกันที่ร้านลาฟาเย็ตต์นั่นแหละครับ โบสถ์แห่งนี้อยู่ใกล้กับห้างดังมากเกินไป จึงกลายเป็นโบสถ์ที่ถูกลืม” นี่ “ท่านนายพล” หมายความว่าเป็นโบสถ์คนเมินใช่ไหม ?

เลี้ยวซ้ายหน้าโบสถ์วิ่งไปจนสุดทาง ก็เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกอีกที คราวนี้วิ่งชิดขวามาจอดที่หน้าร้านซึ่งมีคนแน่นไปหมด ดูหน้าตาแล้วก็คือบรรดาอากง อาม่า อาแปะ อาอึ้ม อาเฮีย อาตี๋ อาเจ๊ อาหมวย แทบทั้งนั้น “รีบลงหน่อยครับ รถของเราจอดนานไม่ได้” มัคคุเทศก์รูปหล่อเร่งทั้งที่พวกเราก็นับว่าลงเร็วอยู่แล้ว เมื่อเห็น “รถทัวร์" อีกสามคันที่มาจ่อท้าย แล้วผู้คนไหลพรูลงมา ส่งภาษาจีนเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ก็เป็นอันเข้าใจว่าทำไมถึงต้องรีบ คุณจราจรและคุณ รปภ. ที่ช่วยโบกรถให้ต้องทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง ถ้าผู้คนมากันขนาดนี้ทั้งวันก็แปลว่ามีลูกค้าวันละนับหมื่นคน..!

บนชายคาตึกของร้านค้า มีป้ายสีแดงที่มีคำว่า GALERIES LAFAYETTE ติดอยู่ยาวเหยียดตลอดตัวตึก ซึ่งดูแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า ๕๐ – ๖๐ เมตร ก็แปลว่าถ้าเป็นมาตรฐานตึกบ้านเรา ร้านนี้น่าจะมีพื้นที่ประมาณ ๑๕ ห้อง โอ้..แม่เจ้า..อะไรจะมหึมามโหฬารขนาดนี้ มัคคุเทศก์รูปหล่อพาคณะของเราเดินเข้าประตูกระจก ขึ้นบันไดเตี้ย ๆ ประมาณ ๗ – ๘ ขั้นสองช่วง ซึ่งต้องเบียดกับบรรดานักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บรรดาอาอึ้ม อาเจ๊ อาหมวย ก็ไม่มีใครคิดที่จะหลีกพระซักคน อาตมาได้แต่ทำตัวลีบ ๆ บังหลังท่านไพฑูรย์ที่พอจะบังได้มิด ค่อย ๆ ไหลตามคณะไปเรื่อย ๆ ผ่านสินค้าที่ตั้งแสดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำหอม จนมาหยุดอยู่ที่ “แผนกคนไทย” โอ๊ย..จะเป็นลม นี่ถึงขนาดมีแผนกคนไทยโดยเฉพาะเลยหรือนี่ ?

สุธรรม 18-06-2017 01:50

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497725236
แผนกคนไทยของห้างลาฟาเย็ตต์

“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ” สองสาวผมยาวในเสื้อสีเทาลายจุดสีขาวคนหนึ่ง เสื้อสีขาวอีกคนหนึ่ง ยกมือไหว้ทักทายมาด้วยอัธยาศัยอันดี “ท่านต้องการสินค้าอะไรเมื่อเลือกแล้ว มาจ่ายเงินตรงนี้นะคะ ดิฉันทั้งสองจะออกใบเสร็จพร้อมกับใบคืนภาษีให้ค่ะ” ด้านหลังของสองสาวมีตัวหนังสือสีทองบนแผ่นแกรนิตสีดำ ทั้งภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาไทย และภาษาอินโดนีเซีย เป็นใจความเดียวกันว่า “ยินดีต้อนรับ” และ “ขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม..! แล้วพบกันใหม่เร็ว ๆ นี้”...

มัคคุเทศก์รูปหล่อทักทายฝากฝังคณะของเรากับสองสาวแบบคนคุ้นเคย แล้วต้อนพวกเราเดินต่อเพื่อไปยังแผนกผู้ชาย ผ่านสารพัดสินค้าบำรุงความงาม ที่วางล่อตาล่อใจไปตลอดทาง ผ่าน “ห้องเสื้อ” และ ร้านขายอัญมณีอีกหลายแห่ง ที่ข้างฝากระจกนั้นมีแมลงและผีเสื้อ ที่วางประกอบกันขึ้นมาด้วยสินค้ายี่ห้อ LOUIS VUITTON ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า สารพัดรูปแบบ นับว่าเป็นแนวความคิดที่สุดยอดมาก ผู้คนแน่นจนอาตมาท้อใจ บอกกับมัคคุเทศก์รูปหล่อว่า “อาตมาไม่ไปต่อแล้วนะคุณโอ๋ จะออกไปเดินดูบ้านดูเมืองของเขาด้านนอก แล้วจะรออยู่หน้าประตูด้านที่เข้านั่นแหละ” เมื่ออีกฝ่ายรับทราบ อาตมาก็กลับหลังหัน เดินย้อนกลับออกไปทันที...

กว่าจะหลุดออกมาที่ถนนด้านนอกได้ก็ถึงกับเหงื่อตก ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปจนสุดตึก จากนั้นเลี้ยวขวามุ่งไปยังโบสถ์คนเมินที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ทรงโบสถ์ที่โดดเด่นสง่างาม มีโดมสูงลิบให้ใกล้ชิดพระเจ้า แต่คนกลับไปเดินห้างจนหมด เหมือนกับประเทศอะไรแถว ๆ อาเซียนที่อาตมารู้จักดีเลยว่ะ..! “Yaaakkk..!” เสียงแผดร้องลั่นมาทางด้านหลัง อาตมาหันขวับกลับมาก็เจอฝรั่งรูปร่างกำยำล่ำสัน เงื้อมือในท่าคาราเต้พุ่งปราดเข้ามาประชิด ท่าทางเหมือนจะฟันให้หัวขาดในฝ่ามือเดียว อะไรกันวะนี่ ? สมองหมุนจี๋ประมวลผลเร็วพอ ๆ กับซูเปอร์คอมพิวเตอร์..!

สุธรรม 18-06-2017 19:21

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497788288
โบสถ์หมาเมิน เอ๊ย..คนเมิน..!

“ล้อเล่นหรือเปล่าวะ ?” เป็นความคิดแรกที่พุ่งเข้ามา เพราะว่าพวกฝรั่งมักจะเห็นพระไทยเป็นพระวัดเส้าหลินเสมอ แต่ท่าทางที่พุ่งเข้ามานั้นจริงจังเกินกว่าที่จะล้อเล่น มิหนำซ้ำยังเปล่งรังสีอำมหิตมาแต่ไกล จากทีแรกที่คิดจะถีบยันเอาไว้เฉย ๆ แต่รูปร่างใหญ่ขนาดนี้ถ้ามันเอาจริงอาตมามีหวังตายแน่ จาก “ไกรสรข้ามห้วย” หรือ “มอญยันหลัก” จึงแปลงเป็น “กวางเหลียวหลัง” ด้วยการเบี่ยงตัวถีบขวายื่นส้นเท้านำหน้า “พลั่ก..!” “Ukk..!” สองเสียงดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน แรงปะทะทำเอาอาตมาเสียวแปลบไปทั้งสะโพกข้างซ้ายที่เจ็บ เกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น บรรลัยแล้ว...เหลือแค่ขาเดียวแล้วจะไปสู้อะไรกับมันได้..!

ร่างหนา ๆ ประมาณหมีควายพุ่งเข้ามาชนส้นเท้าที่ตอกเข้าลิ้นปี่อย่างถนัดถนี่ ม้วนกลิ้งลงไปคลุกฝุ่น แต่พอลุกขึ้นมาได้กลับเผ่นแน่บไม่เหลียวหลัง แบบนี้ชัดแล้วว่ามันเอาจริง ถ้าอาตมาตัดสินใจผิดมี “งานเข้า” อย่างแน่นอน เพราะว่าถ้าล้อเล่นก็คงจะลุกขึ้นมาตัดพ้อต่อว่า ไม่ใช่หนีหน้าไปเฉย ๆ แบบนี้ “Cool..!” เสียงตะโกนประมาณว่า “เจ๋งมาก” แล้วหนุ่มฝรั่งร่างผอมในเสื้อยืดสีดำ ดูอายุอานามน่าจะประมาณวัยรุ่น ยกหัวแม่มือให้อาตมาทั้งสองข้าง ปราดเข้ามาจับมือเขย่าเป็นการใหญ่ ทำเอาอาตมาต้องฝืนยิ้มแย้มแจ่มใสจับมือจับไม้ด้วย ทั้งที่เจ็บสะโพกแทบตาย..!

“ไอ้หนู” บ้าวีรบุรุษล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ขออนุญาต “เซลฟี่” ด้วย เจ้าประคุณเถอะ...โทรศัพท์ของนายนี่ “โชกโชน” กว่าอาตมาเยอะเลย กระจกหน้าทั้งแตกทั้งลายพร้อย อีกฝ่ายฉีกยิ้มจนเห็นฟันเกือบหมดทั้งปาก กดไปซะสองรูป เสร็จแล้วอาตมารีบบอกลา ขืนช้าเดี๋ยวมีรายการฝรั่งมุง เพราะว่าเริ่มมีคนสนใจมองมาทางนี้แล้ว ตอนแรกทั้งถนนเหมือนกับไม่มีใคร ทำไมตอนนี้ผู้คนดูเยอะนักวะ ? ขืนช้าเกิดมีใครโทรแจ้งตำรวจ อาตมาก็คงน้ำลายแห้งกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้ จึงลากขาเจ็บ ๆ เผ่นแน่บ กลัวเจอ “แฟนคลับ” เรียกเพื่อขอถ่ายรูปอีก..!

สุธรรม 19-06-2017 02:22

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497813528
ร้านกาแฟข้างถนนขนานแท้

“คนของท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรวะ ?” อาตมาคาดคั้นกับ “ท่านนายพล” ซึ่งหน้าที่หนึ่งก็คือองครักษ์ แต่กลับบกพร่องต่อหน้าที่ “เป็นพวกต่อต้านต่างชาติครับ พวกนี้ส่วนมากจะไม่ชอบชาวเอเชียหรืออาฟริกัน เพราะว่ามาแย่งงานของคนฝรั่งเศสทำ จึงมีการประท้วงหรือทำร้ายเอาอย่างที่เห็น รายนี้มีกรรมที่ต้องชดใช้กับท่าน ผมจึงไม่ได้แทรกแซงครับ” แปลว่าถ้าอาตมาไม่มีความสามารถพอ ก็บาดเจ็บล้มตายไปเอง...ว่าอย่างนั้นเถอะ “ผมไม่ปล่อยให้เป็นไปถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าจะเป็นถึงขนาดนั้น ด้วยหน้าที่ซึ่งได้รับมาก็จำเป็นต้องแทรกแซงครับ”...

มาถึงสี่แยกอาตมาก็เลี้ยวซ้าย แต่ไม่ข้ามถนนไปฝั่งเดียวกับห้างลาฟาเย็ตต์ หากแต่เดินเลาะฝั่งตรงข้ามไป ด้านนี้มีแต่คนนั่งกินกาแฟ ซึ่งเป็นร้านกาแฟแบบที่ค่อนข้างประหลาด คือเป็นโต๊ะกลมเล็ก ๆ พอที่จะวางกาแฟได้สักสองสามชุด วางชิดกับผนังตึกหรือหน้าร้าน มีเก้าอี้วางหันหลังให้กับผนัง เรียงรายไปเป็นแนวยาว เหมือนร้านกาแฟที่นั่งเดียว ดูแล้วกิจการดีเสียด้วย เพราะว่ามีคนนั่งกันเต็มไปหมด สาว ๆ หลายนางแต่งตัวเหมือนกับเพิ่งหลุดออกมาจากแคตตาล็อกแฟชั่น แต่ก็ดูดีและกลมกลืนไปกับบรรยากาศอย่างคาดไม่ถึง...

ไปถึงสี่แยกอาตมาเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งหนึ่ง พอข้ามไปได้รถราก็บีบแตรเสียงดังลั่น ที่แท้ไฟเขียวคนข้ามกลายเป็นไฟแดงไปแล้ว แต่ว่าคนยังเดินตามกันมาเป็นแถวยาว บรรดารถที่ติดไฟแดงอยู่จึงบีบแตรประท้วง บางคันก็ออกตัวเลย เรียกเสียงวี้ดว้ายจากสาว ๆ ที่กำลังข้ามถนนดังขึ้น โดยเฉพาะแม่สาวอินตะระเดียรายหนึ่ง ถึงกับร้องกรี๊ดแล้วหันหลังวิ่งกลับไปยังฝั่งเดิม ทั้งที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งก็จะพ้นถนนแล้ว เลยทำเอารถราเบรกกันจนหัวทิ่ม และยิ่งบีบแตรประท้วงกันใหญ่ เออ..แบบนี้ก็มีเหมือนกัน เป็นความเถรตรงหรือรักษาสิทธิประโยชน์ของตนจนเกินไปที่ได้พบเห็นในประเทศนี้...

สุธรรม 19-06-2017 16:00

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497862603
คุณยายยิปซี "เจ้าหนี้เก่า"

ข้ามถนนอีกทีตรงไปยัง “โอเปร่า เฮ้าส์” ถ่ายรูปบรรดารูปปั้นต่าง ๆ ที่ประดับหน้าตึก ซึ่งส่วนมากเป็นเทวดานางฟ้าที่ลำบากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ หรืออย่างดีก็มีแค่ผ้าพันกายหลุดลุ่ยอยู่ผืนเดียว กับบรรดารูปปั้นนูนต่ำ ที่น่าจะเป็นกษัตริย์หรือวีรบุรุษต่าง ๆ ในวงกลมประกอบลายเครือเถา บรรดาผู้ที่ยืนรอคนหรือนั่งพักอยู่ตามขั้นบันไดหลายคน ยกโทรศัพท์หรือกล้องขึ้นถ่ายรูปอาตมาไปด้วย บางคนก็ถ่ายกันตรง ๆ แล้ว “แม็กซิ” หลายคนก็แอบถ่ายเพราะไม่แน่ใจว่าจะโดนเรียกเก็บเงินหรือเปล่า ? เมื่อได้รูปที่ต้องการครบแล้ว อาตมาก็เดินออกไปเพื่อหาภาพมุมกว้าง...

ผ่านนักร้องพเนจรที่โซโล่กีตาร์ร้องเพลงเปิดหมวก ข้ามถนนไปยังเกาะกลางเพื่อถ่ายรูปมุมกว้าง เจอหนุ่มสาวคู่หนึ่งยักแย่ยักยัน “เซลฟี่” กันแบบคน “ไม่เป็นมวย” หรือไม่ก็อยากจะได้รูปตัวอาคารทั้งหลังแต่แขนสั้นจนเกินไป ยืนดูอยู่พักหนึ่งเห็นว่าไม่เสร็จสักที ที่สำคัญคือบังมุมที่อาตมาจะถ่ายไปด้วย จึงอาสาถ่ายรูปให้เพื่อที่จะได้ไล่ไปให้พ้น กดไปให้ ๑ รูปยังมีเสียงขอมาอีกว่า “One more” จึงต้องกดซ้ำให้ เมื่อรับโทรศัพท์คืนไปแล้วกดภาพดู น่าจะเป็นที่พอใจทั้งสองจึงบอกขอบคุณแล้วโบกมือบ๊ายบาย เดินพ้นไปจากมุมที่อาตมาต้องการเสียที...

ได้รูปมุมกว้างของตัวอาคารทั้งหลังแล้ว มองไปยังประตูของร้านลาฟาเย็ตต์ ยังไม่มีสีเหลืองของจีวรเลยแม้แต่มุมเดียว อาตมาจึงข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง เดินเลาะไปตามทางเท้า เจอหญิงชราชาวยิปซีนางหนึ่ง ในเสื้อคลุมกันลมสีเทาดำ มีผ้าลาย ๆ โพกหัว ถือไม้เท้าเดินงก ๆ เงิ่น ๆ เสียงของ “ลุงหนวด” ดังมาว่า “รายนี้ครับ” อาตมาจึงดึงเสื้อคลุมให้หยุด เมื่อเธอหันมาก็ควักธนบัตรใบละ ๕ ยูโร ส่งให้ บอกด้วยภาษาฝรั่งเศสปนอังกฤษว่า “กรองด์แมร์, เพรสเซนต์ ฟอร์ ยู” อีกฝ่ายเบิกตาโตด้วยความคาดไม่ถึง รับเงินไปแล้วขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าเพราะที่สุดในโลก “แหม็กซี้...แม็กซิ”...

สุธรรม 20-06-2017 03:40

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1497904560
ภาพมนุษย์ต่างดาวที่ประตูห้องน้ำ

คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับคำขอบคุณที่ฟังแล้วไพเราะจับใจขนาดนี้ คุณยายพูดภาษาฝรั่งเศสที่อาตมาไม่กระดิกหู หรือจะเป็นภาษายิปซีก็ไม่รู้ ? แต่ฟังแล้วเข้าใจได้ประมาณว่า อาตมาเป็นเทวดามาโปรดแท้ ๆ โดยชี้มือขึ้นฟ้ายืนยันความเป็นเทวดาของอาตมาอีกด้วย เมื่อเห็นดังนั้นอาตมาจึงยื่นกล้องให้ดู พร้อมกับขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งคุณยายยอมให้ถ่ายแต่โดยดี เสร็จแล้วอาตมาโบกมือลา “เจ้าหนี้” อย่างคุณยาย แล้วเดินต่อไปข้างหน้า ซึ่งเป็นป้ายรถเมล์ มีคุณลุงรูปร่างล่ำบึ้ก ไว้หนวดเคราสั้น ๆ มาดคล้ายกับ “ตาเฒ่าซานดิเอโก” ในเรื่อง The old man and the sea ตาลุงแกยื่นมือขวา ทำท่าหัวแม่มือรูดกับนิ้วชี้นิ้วกลางถี่ ๆ พลางยิ้มให้...

ด้วยความที่ไม่ใช่ “เจ้าหนี้เก่า” ทำเอาอาตมาโง่ไปสนิทใจ จึงโบกมือให้แล้วเดินเลยไป จนไกลมากแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ เฮ้ย..ไอ้ท่านี้แปลว่าลุงแกขอเงินนี่หว่า..! จะย้อนกลับไปก็ไกลเกินกว่าที่จะเดินให้เจ็บสะโพก เออหนอ...เมื่อไม่มีกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน ก็ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ไปได้เหมือนกัน ไปจนถึงสี่แยกก็ข้ามถนนไปยังฝั่งร้านลาฟาเย็ตต์ เดินเข้าประตูกระจกไปเพราะจำได้ว่า มีป้ายบอกทางไปห้องน้ำอยู่ทางขวามือ และอาตมาตอนนี้กำลังปวดฉี่ค่อนข้างมาก จึงหลบหลีกผู้คนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน พร้อมกับเล็งหาป้ายห้องน้ำไปด้วย...

“พระอาจารย์จะไปไหนครับ ?” พระครูปรีชาที่เดินสวนออกมาจากในร้านพร้อมกับท่านไพฑูรย์ถามขึ้น เมื่อรู้ว่าจะไปห้องน้ำก็บอกว่า “ผมกับท่านไพฑูรย์จะออกไปเดินถ่ายรูปแถวนี้” อาตมารีบบอกให้ระวังว่าจะเจอดีแบบที่เจอมา ทั้งสองท่านเพิ่งทราบว่าเพื่อนฝูงไปผจญภัยอะไรมา ถึงกับกลืนน้ำลาย “ถ้าเป็นผมคงถูกมันอัดกองอยู่ตรงนั้นไปแล้ว” พระครูปรีชาคราง “ไปเถอะ..ระวังตัวไว้ด้วยก็แล้วกัน” ว่าแล้วอาตมาก็ผลุบเข้าห้องน้ำไป โชคดีที่มีห้องว่างพอดี จึงมุดเข้าไป เฮอะ..มีคนมือบอนวาดรูป "มนุษย์หัวขวด" เอาไว้ด้วย ฝีมือดีทีเดียว ปลดทุกข์เบาจนเรียบร้อย ก็ออกมาล้างมือที่อ่าง ล้วงเอาขวดน้ำออกมาดื่มจนหมด แล้วจัดการกรอกน้ำจนเต็ม จากนั้นเดินแหวกผู้คนออกมาที่หน้าประตูกระจกใหม่...


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:29


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว