กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   อดีตที่ผ่านพ้น (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=25)
-   -   อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๗๔ : ลาพุทธภูมิ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=956)

คิมหันต์ 26-08-2009 17:56

อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๗๔ : ลาพุทธภูมิ
 
๗๔. ลาพุทธภูมิ

ห้าพรรษาเท่านั้นแหละ ท่านต้องใช้รถสิบล้อมาขน...หลวงพี่วัชรชัย (พระครูสังฆรักษ์วัชรชัย อินทวงฺโส) เอ่ย เมื่อเห็นของกินของใช้กองเต็มโต๊ะทำงานของอาตมา บนศาลานวราชบพิตร เนื่องจากญาติโยมเอามาถวายคนละเล็กคนละน้อย...

อาตมาเองก็งงเหมือนกัน นี่มันอะไรกันนักหนา...? บวชมายังไม่ทันครบพรรษาเลย ทำไมผู้คนเมตตาสงเคราะห์ขนาดนี้...? คิดไปคิดมาสรุปได้ว่า เกิดจากการที่อาตมาปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนนั่นเอง บริวารถึงได้มากนัก... ไม่ว่ามาจากอีสาน กลาง เหนือ ใต้ ความตั้งใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นคือ มากราบ “หลวงพ่อ” แต่มันให้มีเหตุที่เขาต้องมาพบกับอาตมา แล้วก็ชอบอกชอบใจเกาะหนับเป็นตุ๊กแกเลย... ขืนเป็นแบบนี้ ไม่ทันครบพรรษาคงถูกไล่ออกจากวัดแน่ ๆ เพราะคณะสงฆ์ท่านจะตั้งข้อหาว่า แข่งบารมีกับ “หลวงพ่อ” นะซิ...ไอ้เรารึก็ไล่แล้วไล่อีก ให้เขาไปกราบ “หลวงพ่อ” สมกับที่ตั้งใจมา แต่เขาก็อิดเอื้อนโยกโย้ จนบางทีอยากซัดสักฉาด...!

เคยกราบเรียนถาม “หลวงพ่อ” ว่า ทำไมศิษย์สายครูบาอาจารย์อื่น ๆ เขาไม่ค่อยมีพระโพธิสัตว์เอาซะเลย แต่ของวัดท่าซุงพระโพธิสัตว์แทบจะเดินชนกันตาย...? “หลวงพ่อ” เมตตาตอบว่า ท่านเองก็เคยกราบเรียนถาม “พระ” ท่านเช่นกัน...

พระท่านบอกว่า งานของเธอเป็นงานใหญ่ ต้องสั่งสอนคนหมู่มากเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง แทบจะเป็นการประกาศศาสนาใหม่เลย ถ้าไม่ได้กำลังของพระโพธิสัตว์มาช่วย ลำพังกำลังของเธอเองจะรับมือไม่ไหว...

ที่สำคัญคือ หลวงพ่อท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ถ้ายังไม่ละความปรารถนานั้นเสียก่อน เมื่ออายุครบ ๖๐ ปีในชาตินี้ จะบำเพ็ญบารมีของวิริยาธิกะโพธิสัตว์เต็ม ครบ ๑๖ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัปพอดี... หลวงพ่อเล่าว่า “คนของฉันที่อธิษฐานตามกันมา เลยทำงานพุทธภูมิไปโดยปริยาย ยิ่งพวกที่ตามกันมาแต่ต้น ๆ บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๐ อสงไขยกัปทั้งนั้น ถ้าเป็นสาวกภูมิก็บรรลุไปนานแล้ว...

การบำเพ็ญบารมี เพื่อความเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน คือ

๑. ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
๒. ศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
๓. วิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป

การจะเป็นพระพุทธเจ้าแบบใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระโพธิสัตว์ท่านนั้น จะตั้งความปรารถนาว่าต้องการบริวารแบบใด แบบปัญญาธิกะนั้น บริวารของท่านจะคละเคล้ากันไป ทั้งยากดีมีจน ขี้เหร่สวยงาม แบบยำใหญ่ใส่สารพัดเลยล่ะ... แบบศรัทธาธิกะ บริวารของท่านจะสวยรวยดี ตั้งอยู่ในศีลธรรมเสมอกัน คนชั่วจะเข้ามาในเขตประกาศศาสนาของท่านไม่ได้ แบบวิริยาธิกะ นอกจากสวยรวยดีเสมอกันหมดแล้ว ช่วงนั้นคนชั่วไม่มีโอกาสมาเกิดในโลกได้เลย...!

ถ้าหลวงพ่อไม่ลาพุทธภูมิเสียก่อน ท่านจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๒ ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย “...ขี้เกียจนั่งแกร่วรอคิวอีกไม่รู้กี่กัป ฉันเลยเลิกเป็นซะอย่างนั้นแหละ...” หลวงพ่อเล่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ความจริงคือหลวงพ่อท่านเกรงว่าจะต้องฆ่าคน ด้วยว่าวิสัยของพุทธภูมินั้น หากการกระทำของตนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนหมู่มากแล้ว ท่านยอมแม้จะต้องตกนรกหมกไหม้ขนาดไหนก็ตาม...!

ยุคนั้นนักบวชเลวที่เป็นใหญ่เป็นโต ข่มเหงรังแกพระดี ๆ ทั่วไป จับสึกซะบ้าง ถอดออกจากตำแหน่งบ้าง ข่มขู่เรียกร้องลาภผลจากท่านบ้าง เรียกว่าชั่วกันอย่างบริสุทธิ์ หาความดีไม่เจอเลยทีเดียว ขืนอยู่ก็ฆ่ากันแน่ หลวงพ่อจึงลาพุทธภูมิ...!

กำลังใจของผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวกว่าคนทั่วไปมากนัก ทำอะไรเด็ดขาดจริงจัง เสียสละความสุขของตนเพื่อผู้อื่นเสมอ แม้ตัวเองต้องอด ก็ขอให้คนอื่นอิ่มก็แล้วกัน ที่สังเกตอีกประการคือ บริวารจะมากเป็นพิเศษ... แต่ที่เสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะฝึกหัดอะไร จะได้ช้ากว่าเขามากนัก ต้องทวนแล้วทวนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ช่ำชองชำนาญทุกจุดจริง ๆ จะไม่ยอมปล่อยผ่านอย่างเด็ดขาด ถ้ารู้ไม่ครบถ้วนเจนจบ จะไปเป็นครูสอนคนอื่นเขาอย่างไร...?

อาตมาเองก็เช่นกัน กว่าจะผ่านได้แต่ละจุดแทบรากเลือด อย่างที่เคยเล่าไว้แต่ต้นว่า เพียงปฐมฌานอย่างเดียว เคี่ยวซะสามปี...! จนเหตุจูงใจสำคัญมาถึงคือ หลวงพ่อก็ลาพุทธภูมิแล้ว อาตมาจะอยู่ไปทำเกลืออะไรล่ะ...? กราบทูลลาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๓ วาระ พระองค์จึงประทานอนุญาต แต่ก็มีข้อแม้ว่า “จะลาก็ได้ แต่งานเก่าต้องทำต่อไป...” เฮ้อ...ตกลงว่าถ้าดีก็ไปนิพพานได้ ถ้าเลวก็ลงอเวจีต่อไป งานเก่าก็ไม่ยกเลิก...เก๊กซิม..! ขนาดลาแล้วนะนี่ บริวารยังไหลมาเทมา แล้วข้อยสิเฮ็ดหยังหว่า...? ฆ่าก็ไม่ตาย ขายก็ไม่ออก หนักอกหนักใจเรื่องบริวารอยู่นาน จนเกือบจะโดนไล่ออกจากวัดหลายวาระ ก็พอดีคนดีศรีอยุธยาขี่ม้าขาวโผล่มาช่วยไว้ทัน...

ท่านนันทชัย (พระนันทชัย สุธมฺมเทวธมฺโม) บวชเข้ามาพอดี อาตมาเห็นปั๊บก็ทราบเลยว่าพระโพธิสัตว์แหงแซะ... วันหนึ่งมีโอกาสนั่งผลิตลูกประคำอยู่ด้วย อาตมาจึงถามท่านว่า “คุณคิดจะลาพุทธภูมิบ้างมั้ย...?” ท่านตอบว่า “มันเหมือนกับผมทำงานชิ้นหนึ่ง เห็นอยู่ว่าผลงานนั้นจวนจะเสร็จอยู่แล้ว จะให้ผมทิ้งไปกลางคัน ผมทำไม่ได้ครับ...” เห็นความเข้มแข็งของกำลังใจของท่านหรือยัง...? ไอ้ใจไม่ถึงอย่างเราดันไปชักใบให้เรือเสียซะนี่...!

ผมเองน่ะลาแล้ว แต่บริวารของผมมากเหลือเกิน คุณจะรังเกียจมั้ย...? ถ้าผมจะฝากให้คุณช่วยรับภาระแทนด้วย...” อาตมายื่นภูเขาพระสุเมรุให้หน้าตาเฉย ท่านก้มหน้าคิดไม่ถึงสามวินาที ก็ตอบว่า... “ได้ครับ...แต่เมื่อหลวงพี่ไปสบายแล้ว ขอให้กลับมาช่วยผมบ้าง...” ไชโย...! ทันทีเลยน้องเอ๋ย...ขอให้หมดภาระเฉพาะหน้าเท่านั้นแหละ เรื่องย้อนกลับมาช่วยภายหลังนั้นเรื่องเล็ก ถึงตอนนั้นทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว... น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระแสคนมันขาดลงไปเฉย ๆ คล้ายกับน้ำที่ถูกปิดเขื่อนอย่างนั้นแหละ แต่ก็นั่นแหละ... ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว อยากฝากเขาดีนัก ตอนนี้เลยถูกฝากบ้าง แต่ละท่านนี่เราไม่มีโอกาสปฏิเสธเลย...โธ่ ๆ ๆ ๆ ...!

๑ ตุลาคม ๒๕๓๕
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

หมายเหตุ :หลวงพ่อ” บอกกับอาตมาว่า “ระวังนะคุณ...ลาพุทธภูมิแล้วกำลังมันจะตก..” ทีแรกอาตมาเองยังนึกค้านท่านในใจว่า ไม่เห็นมันจะตกตรงไหนเลย ความบ้าก็ยังเท่าเดิม สมาธิสมาบัติก็ยังเหมือนเดิม...

มาตอนนี้ต้องเชื่อหลวงพ่อโดยไม่มีข้อแม้ เพราะเพิ่งสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ถ้าเห็นใครลำบากอยู่ ถึงเขาไม่ออกปากก็รีบแถเข้าไปช่วย มาตอนนี้ถ้ามันไม่ล้มทับตีนอยู่ตรงหน้า อย่าหวังเลยว่าจะยื่นมือไปช่วย...! ที่แท้กำลังใจมันลดลง เอาแต่เรื่องเฉพาะหน้าจริง ๆ เท่านั้น...

๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๙
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว