กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5745)

เถรี 16-08-2017 20:57

"ตอนนี้ยังไม่เท่าไรหรอก ต้องประมาณปลายเดือนกันยายนต้นตุลาคม ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำเหนือไหลหลาก ซึ่งจะว่าไปก็เป็นภาวะปกติ แต่คราวนี้กรุงเทพฯ ของเราเป็นพื้นที่ต่ำ ก็เลยไม่ปกติ โดยมากแล้วคนกรุงเทพฯ กับปริมณฑล มักจะมีบ้านต่างจังหวัดอยู่แล้ว การขยับขยายก็คงจะง่ายหน่อย

แต่ประเภททำตัวเป็นชาวกรุงเลยโดยไม่มีพื้นที่สำรองไว้ พอถึงเวลาก็เดือดร้อนมากหน่อย ถ้าดินน้ำลมไฟร่วมประสาน กลายเป็นอุบัติเหตุหรือภัยธรรมชาติ คาดว่าต้องมีบางประเทศที่จมหายไปใต้ทะเล วิตกวิจารณ์กันล่วงหน้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เช่นอะไร พายุมาก็พาฝนมา ก็แปลว่าลมกับน้ำมา ถ้าภูเขาไฟระเบิดแผ่นดินก็ไหวด้วย สรุปว่าดินน้ำลมไฟมาครบ"

เถรี 18-08-2017 08:47

ถาม : ภาวนาแล้วมักจะหลับ ?
ตอบ : แปลว่าสมาธิเริ่มทรงตัว ถ้าหากว่าสติตามไม่ทันจะเหมือนอย่างกับหลับ แต่พอถึงเวลาสติกลับมาเรารู้สึกตัวขึ้นมาแต่จริง ๆ แล้วไม่ได้หลับ เพราะว่าเรายังนั่งอยู่

ถาม : ต้องแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาสติจี้ตามลมหายใจเข้าออกให้ติด ๆ หรือไม่ก็ให้อยู่กับงานเฉพาะหน้า อย่างเช่นว่าสวดมนต์ก็ให้อยู่กับสวดมนต์ ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอนิดเดียวก็จะหลับ

ถาม : ถ้าสวดพระคาถาเงินล้าน แล้วเราหลับ อย่างนี้ต้องแก้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าไม่คิดจะเอาดีกว่านั้นก็ไม่ต้องแก้

ถาม : ถ้าจะเอาดีกว่านี้ละครับ ?
ตอบ : ก็เมื่อครู่บอกไปแล้ว ตกลงว่าไม่ได้ฟังใช่ไหม ?

เถรี 18-08-2017 08:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราช่วงนี้ภัยธรรมชาติที่หนักหนาก็คือน้ำท่วม รอบบ้านเราหลายประเทศก็น้ำท่วม ช่วงที่ผ่านมามีหลายประเทศเกิดพายุหิมะหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายประเทศก็เกิดไฟป่าไหม้ลุกลามเป็นหมื่นเป็นแสนไร่ จะว่าไปแล้วภัยธรรมชาติทั้งหลายเกิดจากการกระทำของคนทั้งนั้น

ดังที่เคยบอกหลาย ๆ ครั้งแล้วว่า
ความดี ความชั่วที่เราทำไม่ได้ไปไหน แต่จะสั่งสมรวมกันเป็นพลังงานทั้งด้านบวกและด้านลบ คราวนี้คนทำความชั่วมากกว่า พลังงานทางด้านลบเลยมีมากกว่า ก็ทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ภัยธรรมชาติต่าง ๆ มีมากขึ้น

เรื่องตรงนี้เราจะไปบังคับคนอื่นก็ไม่ได้ จึงเหลืออย่างเดียวก็คือ ช่วยกันสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มาก ๆ อย่างน้อย ๆ ที่ไหนซึ่งมีผู้ทรงศีลทรงธรรมอยู่ เทวดาพรหมท่านก็ยังช่วยรักษา ถึงเวลาเกิดเรื่องเดือดร้อนก็
จะน้อยกว่าที่อื่นเขา"

เถรี 18-08-2017 08:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเห็นคนสวยไหม ? คนสวยที่ต้องทำตัวเองให้สวยตลอดเวลา...เหนื่อยน่าดู ส่วนคนดีที่คิดว่าตัวเองดี ต้องคอยทำตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา...เหนื่อยยิ่งกว่านั้นอีก"

เถรี 18-08-2017 08:53

พระลูกศิษย์มากราบ พระอาจารย์จึงให้โอวาทว่า "จำไว้ว่าตำแหน่งมาพร้อมกับหน้าที่ งานจะเยอะขึ้น ยินดีด้วยแต่จะเหนื่อยขึ้น พัดพระครูฐานานุกรมนี่สวยกว่าพัดพระครูสัญญาบัตรของผมอีก ผมยังไม่มีรูปคู่กับพัดยศเลย ถ้าเกิดปุบปับเป็นอะไรตายก็ต้องมาตัดต่อเอา"

เถรี 18-08-2017 08:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีประเด็นหนึ่งที่เขาตั้งกระทู้กัน ก็คือ อยากเห็นผีหรือวิญญาณด้วยตาเนื้อ แล้วก็มีผู้เข้าไปตอบหรือแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งแสดงความคิดเห็นมากเท่าไรก็ยิ่งไกลเกินไปมากเท่านั้น

การจะเห็นผีหรือวิญญาณด้วยตาเนื้อมีวิธีง่ายนิดเดียว คือไปเกิดเป็นหมา..! เพราะว่าโดยปกติแล้วการเห็นด้วยตาเนื้อหรือตาทิพย์ ไม่ใช่คุณสมบัติของมนุษย์ทั่วไป เป็นคุณสมบัติของภพภูมิอื่นอย่างผีหรือเทวดา เป็นต้น มนุษย์เราสามารถมีได้แค่ทิพจักขุญาณ คือความรู้ทางใจที่เหมือนกับมีตาทิพย์เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นด้วยตาเนื้อปกติ ที่หมาสามารถเห็นผีโดยตาเนื้อปกติได้ อันนั้นเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบากของเขา ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า กัมมวิปากชาฤทธิ์

ดังนั้น...ในส่วนที่บางคนแนะนำว่าต้องฝึกอภิญญา ต้องฝึกกสิณกองนั้นกองนี้ ต้องฝึกมโนมยิทธิ ล้วนแต่เป็นการฝึกทิพจักขุญาณ ไม่ใช่การฝึกให้ตาเนื้อเห็นผีเห็นเทวดา ไม่ใช่การฝึกให้มีการตาทิพย์ ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติของมนุษย์ เห็นถกเถียงกันอยู่นาน แสดงความเห็นกันมาก แต่ว่ายิ่งแสดงก็ยิ่งไกล เพราะว่าไปพลาดตรงที่คิดว่าคนเราจะมีตาทิพย์ ก็คือสามารถที่จะเห็นผีเห็นเทวดาด้วยตาเนื้อเฉพาะตนได้"

เถรี 18-08-2017 08:59

พระอาจารย์เมตตาสอนว่า "พวกเราส่วนหนึ่งแม้ปฏิบัติธรรมมาหลายปี ก็ยังทิ้งนิสัยใจร้อนใจเร็วไม่ได้ นิสัยใจร้อนใจเร็วบางทีเกิดจากความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

ฟังให้ดี ๆ นะ ปฏิบัติดีขึ้นแล้วใจร้อนขึ้นได้อย่างไร ? จะเรียกว่าใจร้อนก็ไม่ใช่ เนื่องจากว่าสภาพจิตที่ละเอียดขึ้น การประมวลผลทุกอย่างเร็วขึ้น การกระทำทุกอย่างก็เร็วขึ้นไปด้วย คราวนี้จะเห็นคนอื่นช้า ถ้าไม่ทันระวังใจตัวเองก็จะหงุดหงิด แล้วบางทีการใจร้อนใจเร็วของเราไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติไม่ก้าวหน้า แต่เป็นเพราะเราปฏิบัติก้าวหน้า แต่ลืมไปว่าคนอื่นเขาก้าวไม่ทัน มัวแต่ไปเห็นว่าเขาช้า ก็จะไปหงุดหงิด

ควรจะมองทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ สงเคราะห์ไม่ได้ก็รักษาใจเอาไว้ อย่าให้กำลังใจของเราต้องเสีย เพราะถ้ากำลังใจของเราเสีย เราก็จะขาดทุน


ค่อย ๆ พิจารณาตัวเองว่าของเราอยู่ในเกณฑ์ไหน เกณฑ์ปฏิบัติก้าวหน้าแต่ไม่รู้จักตัวเอง หรือว่าอยู่ในเกณฑ์ปฏิบัติเท่าไรก็หาความก้าวหน้าไม่ได้สักที ต้องเข้าข้างตัวเองแน่ ๆ เลย...!"

เถรี 20-08-2017 17:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันแม่ ๑๒ สิงหาคม และงานทำบุญครบรอบมรณภาพ ๒๕ ปี หลวงปู่สาย ๑๔ กันยายน ท่านเจ้าคุณวิสุทธิศาสนวิเทศ หรือเจ้าคุณปิง รับเป็นเจ้าภาพผ้าไตรถวายพระทั้งหมด โมทนากับท่านก็แล้วกันนะ ท่านได้อะไรเราก็เอาด้วย"

เถรี 20-08-2017 19:36

ถาม : ปกติฤกษ์ลงเสาเอกต้องเป็นวันศุกร์ ข้างขึ้น เดือนคู่ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลงเสาเอกใช้ฤกษ์เดียวกับฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ก็ได้

ถาม : ผมสงสัยจริง ๆ ครับว่าฤกษ์ลงเสาเอกคืออะไรครับ ?
ตอบ : เราจะใช้แบบนั้นก็ได้ ไม่มีปัญหา

ถาม : ถ้าตามหลักวิชาละครับ ?
ตอบ : ใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ธรรมดา

เถรี 20-08-2017 19:54

ถาม : ตัวทาก เวลาจับมีเทคนิคการเอาออกไหมครับ ?
ตอบ : ๑) ขี้เถ้า ๒) น้ำบุหรี่หรือน้ำยาสูบนั่นแหละ ๓) ยาฆ่าแมลงยี่ห้อไหนก็ได้ ฉีดพรืดเดียวลงไปก็กลิ้งเลย แต่ส่วนใหญ่จะตาย เพราะฉะนั้น...เอาเป็นน้ำยาสูบไว้ก่อน ส่วนใหญ่มัวแต่ไปแกะอยู่ก็เลยยาก

เถรี 20-08-2017 19:58

ถาม : เวลาเข้าป่า ท่านใส่รองเท้ายี่ห้ออะไรครับ ?
ตอบ : รองเท้าแตะ ยี่ห้ออะไรก็ได้

ถาม : แล้วเวลาต้องเจอพวกดงไมยราบ ?
ตอบ : ก็ลุยไปสิวะ

ถาม : ลุยเลยหรือครับ ?
ตอบ : มีอะไรน่ากลัวหรือ ?

เถรี 20-08-2017 21:29

ถาม : สีลัพพตุปาทาน คือ ?
ตอบ : คำว่า สีลัพพตุปาทาน คือ การยึดมั่นในศีล ในหลักการปฏิบัติของตนเองดีกว่าคนอื่น อย่างเช่นพระธรรมยุตบางท่าน เจอหน้าพระมหานิกาย ถึงแม้พรรษามากกว่าก็ไม่ไหว้ เพราะเขาถือว่าตนบริสุทธิ์กว่า แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังฝืนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็คือการที่บุคคลที่มีพรรษาน้อยกว่า ต้องเคารพกราบไหว้ผู้ที่พรรษามากกว่า เพราะตัวสีลัพพตุปาทาน คือยึดมั่นในศีลของตนเองว่าดีกว่า บริสุทธิ์กว่า แล้วก็มองข้ามระเบียบวินัยไป

ถาม : กรณีพระทำอาหารไปช่วยญาติโยมที่น้ำท่วม ผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ผมว่าไปแล้ว...ไม่ผิด เดี๋ยวรอเขาแกะเสียงในเก็บตกฯ แล้วเอาไปโพสต์ต่อเลย ผมบอกรายละเอียดไว้ชัดเจนหมดแล้ว ไม่มีความผิดอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ถ้าไม่ช่วยจะผิดทางธรรมเพราะว่าขาดพรหมวิหาร

ถาม :
อย่างนี้ท่านเหล่านั้นก็จัดเป็นสีลัพพตุปาทาน ?
ตอบ :
เป็นมิจฉาทิฏฐิมากกว่า สาหัสกว่าหลายเท่า เพราะไม่เข้าใจในหลักการปฏิบัติอย่างแท้จริง แล้วก็มั่วไปเรื่อย มีโอกาสทำให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิตามไปอีกเยอะ แบบเดียวกับวัดนา....!

เถรี 20-08-2017 22:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนที่แล้วอาตมาเกี่ยงค่าทอง ๕๐ บาท ก็คือถ้าทองลดลงมาเหลือ ๑๙,๕๐๐ บาทถึงจะซื้อ ทีนี้ลดลงมาเหลือ ๑๙,๕๕๐ บาท ก็นั่งรอ แต่ตอนที่เขาขยับราคาลงเขาไม่ได้ประกาศบอกเรา ประกาศอีกทีราคาก็ขึ้นแล้ว จึงซื้อไม่ทัน

เรื่องของราคาทอง ช่วงที่ลงมาก ๆ แล้วอยู่ ๆ ขึ้นพรวดไปเลย ให้รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะมีประเทศใดประเทศหนึ่งเดือดร้อน เพราะว่าเขาจะหาส่วนต่างไปใช้การทำสงครามร้อนสงครามเย็นให้ยุ่งไปหมด"

เถรี 22-08-2017 08:14

ถาม : มีความรู้สึกว่าเห็นอะไรก็ร้องไห้เสียใจ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นตัวปีติ ไม่ใช่ตัวเสียใจ ปีตินั่งร้องไห้ร้องห่ม แต่ให้สังเกตว่าใจเราจะนิ่งมาก ไม่ได้ทุกข์ไปตามอาการของร่างกาย ถามว่าปีติแล้วทำไมต้องร้องไห้ ? เหมือนอย่างกับเด็กโดนพ่อแม่ทิ้งเอาไว้ทั้งวัน กว่าจะกลับมาก็มืดก็ค่ำ เด็ก ๆ เห็นพ่อมาแล้ว แม่มาแล้วก็ดีใจ ร้องไห้โฮไปเลย

สภาพจิตที่ห่างไกลความสงบมานาน พอเริ่มเข้าถึงความสงบจะมีอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เสียใจ กลับไปสังเกตใหม่ว่าจริง ๆ แล้วใจของเรานิ่งมาก

เถรี 22-08-2017 08:14

ถาม : ความรักของมารดาที่มีต่อบุตรเป็นราคะไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นความรักของแม่ที่มีต่อลูกจริง ๆ เรียกว่า พรหมวิหาร เป็นความรักเมตตากรุณา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราคะเลย มีใครบ้างที่ยินดีทุ่มเททุกอย่างในชีวิตให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

เถรี 22-08-2017 19:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขียนมาว่า "ร่วมสร้างพระทองคำและพระนาค" จำไว้ว่านาก เขาใช้ ก.ไก่ นะ นาค ค.ควายไม่ถูก

นาก ตัวนี้ หมายถึง โลหะผสม เกิดจากการผสมของทองคำ เงิน และทองแดง แต่ถ้า นาค หลายความหมายเลย นาค ค.สะกด ความหมายหนึ่งคือ งูใหญ่ เรารู้จักกันดี ที่เรียกว่าพญานาค ทางด้านภาคเหนือเรียกว่า เงือกหลวง

นาคในความหมายที่สอง หมายถึง ผู้ที่ฝึกดีแล้ว อย่างเช่นว่า ช้างที่ได้รับการฝึกดีแล้วเรียกว่านาคได้ บุคคลได้รับการฝึกดีแล้วอย่างผู้เตรียมตัวบวช เรียกว่านาคได้

นาคอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงผู้เป็นใหญ่ อย่างเช่นว่าพระมหากษัตริย์ เรียกเป็นนาคได้ อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง ผู้ประเสริฐสุด หมายถึงพระพุทธเจ้า อย่างเช่นพระพุทธเจ้าจะพบพระเจ้าปเสนทิโกศล เขาบอกว่า วันนี้นาคกับนาคจะพบกัน เป็นต้น ไม่มีความหมายถึงโลหะผสม ฉะนั้น...โลหะผสมต้องใช้ ก.ไก่"

เถรี 22-08-2017 20:43

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปพุทธศาสนาของจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาที่คิดว่าตัวเองมีเวลาว่าง ๑ วัน คือ วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ปรากฏว่าโดนเรียกประชุม แล้วเป็นคณะกรรมการถึงสองชุด ทั้ง ๆ ที่ตัวคนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะแบ่งภาคอย่างไร

เมื่อเซ็นชื่อเข้าประชุมคณะกรรมการทุกคณะเรียบร้อยแล้ว พอเริ่มประชุมเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า "ฝ่ายเผยแผ่ ท่านอาจารย์ยังไม่ต้องไปก็แล้วกันครับ ท่านอาจารย์ไปฝ่ายการศาสนศึกษาก่อนเลย" ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ก็คือ สร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้เกิดขึ้นในหมู่พุทธศาสนิกชน จะต้องยื่นกลยุทธ์ว่าทำอย่างไรบ้าง ? ท่านโน้นก็เสนออย่างนั้น ท่านนั้นก็เสนออย่างนี้ ถกเถียงกันไปประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป

พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ ป.ธ. ๙ ประโยค เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี บอกว่า "ขออภัยนะครับ ผมว่าที่พวกเราเถียงกัน ไปไกลเกินแล้ว" ท่านบอกว่า "ในเมื่อเราจะสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในพุทธศาสนา เราก็ควรจะเอาเรื่องของอภิญญาสมาบัติ หรือไม่ก็ความสามารถพิเศษต่าง ๆ อย่างหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านเคยทำได้ เอาเรื่องพวกนี้มาเสนอเป็นโครงการขึ้นไป จะเรียกศรัทธาญาติโยมได้มากกว่ากระมัง ?"

อาตมาได้ยินก็กลืนน้ำลายเอื๊อกเลย "แล้วจะเขียนโครงการอย่างไรให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ละอาจารย์ ?" "จะไปยากอะไร อย่างวัดท่าขนุนมีความสามารถทางนี้ ก็เปิดโรงเรียนสอนไปเลย" เข้าท่านะ...! โครงการตั้งโรงเรียนสอนอภิญญาสมาบัติที่วัดท่าขนุน..!

เรื่องนี้ถกไปถกมาปรากฏว่าคาบเกี่ยวกับฝ่ายอื่นด้วย ไม่ใช่แค่การศาสนศึกษาอย่างเดียว มีการปกครอง การศาสนศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ การศึกษาสงเคราะห์ อะไรประมาณนั้น"

เถรี 22-08-2017 20:45

"ท้ายสุดก็เลยกลายเป็นว่า ท่านเจ้าคุณวีระเสนอโครงการสอบธรรมศึกษาในชุมชน ปกติแล้วธรรมศึกษาจัดเฉพาะนักเรียนหรือผู้ที่สนใจเท่านั้น แต่ท่านจะเอาโครงการนี้แหย่เข้าไปในชุมชนเลย ในเมื่อความเป็นรูปธรรมมีมากกว่า เขียนเป็นโครงการขึ้นมาเข้าใจได้ง่ายกว่า เลยตกลงว่ายุทธศาสตร์ที่ ๑ กลยุทธ์ที่ ๑ ก็คือ การตั้งสนามสอบธรรมศึกษาในชุมชน ไม่อย่างนั้นอาตมาคงต้องเปิดโรงเรียนสอนอภิญญาไปแล้ว

ในส่วนที่ท่านอาจารย์พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรีว่ามานั้น จริง ๆ แล้วเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงตัวมากที่สุด เพราะญาติโยมจะเกิดศรัทธาก็ต่อเมื่อเจ้าอาวาสแต่ละวัดมีความสามารถอย่างแท้จริง แล้วความสามารถนั้น ส่วนใหญ่ก็ออกไปในด้านเวทมนต์คาถา ฌานสมาบัติ อภิญญา เป็นต้น"

เถรี 22-08-2017 20:48

"เราจะเห็นว่าในสมัยก่อน ๆ นี้ หลวงพ่อรูปใดขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาส ก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้เลย เพราะท่านศึกษาวิชาต่าง ๆ จากครูบาอาจารย์มา ต่อให้ไม่หลากหลาย มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็กลายเป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านเขาได้

อย่างหลวงพ่อบางองค์เก่งต่อกระดูกอย่างเดียว แต่ท่านต่อกระดูกเก่งเกินมนุษย์มนา บางคนเข้าไปในวัดก็ยังงง ๆ เพราะว่าไก่มีตีนเป็นเป็ด เป็ดมีตีนเป็นไก่ ท่านทดลองวิชาด้วยการสับขาออกแล้วต่อใหม่ ถ้าต่อไม่ได้นี่เดือดร้อนเลย ...(หัวเราะ)... ยังดีว่ามีการทดลองด้วยการเอากิ่งไม้แห้งมาหักก่อน แล้วว่าคาถาประสานจนกิ่งไม้ติดกันได้ ถึงได้ไปลองกับของจริง

เป็นแค่วิชาเดียวก็ปางตายแล้ว ถ้าเป็นหลาย ๆ อย่างแบบหลวงปู่ปานนี่สาหัสเลย สมัยหลวงปู่ปานบาลีก็ต้องสอน พระเณรเป็นร้อย ๆ มาขอเรียนด้วย รักษาโรคก็ต้องรักษา คนเป็นร้อย ๆ มาทุกวัน ที่อาการหนักก็ค้างอยู่กับวัด วัดก็ต้องเลี้ยงอาหาร ต้องหาที่พักให้

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าศึกษาไว้บ้างก็จะดี ไม่มีไว้เลยก็ลำบาก ทุกวันนี้ในส่วนของจังหวัดกาญจนบุรี ถึงเวลาเอ่ยถึงเรื่องเกินมนุษย์มนา ส่วนใหญ่เขาจะจิ้มไปที่วัดท่าขนุน อาตมาโดนยกตัวอย่างจนไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนแล้ว เพราะว่าในระหว่างพระกับฆราวาสมีศีลห้ามไว้ว่า ห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสธรรมต่อฆราวาส แต่ในระหว่างพระด้วยกันไม่มีข้อห้าม เพราะเป็นอุปสัมบัน ผู้มีศีลเสมอกัน ในเมื่อไม่มีข้อห้าม โอกาสที่เขาจะรู้เห็นก็ง่ายกว่า"

เถรี 29-08-2017 17:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "ได้ยินว่า ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ นี้ พวกเราจะได้นั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เชื่อมต่อกับสถานีเตาปูนแล้ว ถึงแม้ว่าจะสะดวกขึ้นแต่ก็อ้อมไกลอยู่ดี...ใช่ไหม ? บ้านเราทำอะไรไม่ค่อยจะวางแผนล่วงหน้า มีแต่ทำแล้วค่อยมาแก้ปัญหากันทีหลัง

จากการไปทิเบตที่ผ่านมา ได้เห็นสนามบินของจีน
หรือว่าสถานีรถไฟ แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไกล ๆ เขาทำไว้รองรับอีก ๒๐ – ๓๐ ปีข้างหน้าทั้งนั้น ทำเผื่อไว้ก่อน ส่วนบ้านเราทำก่อนแล้วค่อยไปขยายทีหลัง แปลว่าวิสัยทัศน์ของเราดีกว่า ที่ดีกว่าเพราะว่าทำครั้งหนึ่งได้ "เงินทอน" ครั้งหนึ่ง ของจีนเขาโง่ไปหน่อย ทำครั้งเดียวก็ได้แค่ครั้งเดียว...!"

เถรี 29-08-2017 17:39

"ระยะนี้มีคนบ่นด่าสารพัดเรื่อง ก็เป็นธรรมดาว่า ถ้าเรื่องของการงานหรือปากท้องมีปัญหา การเมืองก็จะมีปัญหาไปด้วย เนื่องเพราะว่าพื้นฐานการครองชีพไม่มีความคล่องตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เขาก็ต้องบ่นต้องด่าเป็นธรรมดา

แต่ส่วนใหญ่ผู้ปกครองมักจะอยู่บนหอคอยงาช้าง แบบเดียวกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ชาวบ้านมาประท้วงหน้าพระราชวังแวร์ซายน์ว่าไม่มีขนมปังจะกินแล้ว เสียงโวยวายดังมาถึงในวัง พระนางมารีอังตัวเน็ตต์ถาม มหาดเล็กก็กราบทูลให้ทราบว่าชาวบ้านไม่มีขนมปังจะกิน พระนางก็บอกว่า บอกให้ชาวบ้านกินขนมเค้กแทนสิ..!

นั่นก็คือลักษณะของคนที่อยู่บนหอคอยงาช้าง จนกระทั่งมองไม่เห็นคนรากหญ้า ไม่รู้ว่าแม้กระทั่งขนมปังไม่มีกิน แล้วจะเอาอย่างอื่นมากินได้อย่างไร ? อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับชาวบ้านที่หิวโหยเดือดร้อน พอถึงเวลาขึ้นมาก็จะไม่มีใครกลัวใคร เพราะว่าต้องอดตาย ในเมื่อมีความตายเป็นเดิมพัน ก็ไม่มีการเกรงกลัวกันอีกแล้ว"

เถรี 29-08-2017 17:41

"โดยเฉพาะบ้านเมืองเรา ที่บอกว่าคนดีเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่ปรากฏว่าปัญหาทุกอย่างที่จะเข้ามาแก้ไข รู้สึกว่าจะย่ำแย่หนักกว่าสมัยก่อนเสียอีก จนกระทั่งอาตมาเองก็ชักจะกลัวแล้วว่า คำว่า "คนดี" นั้นดีจริงหรือเปล่า ? เพราะแต่ละอย่างที่ทำออกมา ออกกฎหมาย ออกระเบียบปฏิบัติออกมา ทำให้เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ไม่มีการมองล่วงหน้าว่าจะมีผลกระทบอย่างไร

อย่างเช่น การห้ามชาวบ้านนั่งท้ายรถกระบะ การที่นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างต่างด้าวจะโดนปรับในอัตราที่รุนแรงมาก การทำทุกอย่างให้เป็นไปตามระเบียบเป็นเรื่องดี แต่ต้องดูบริบทสังคมของเราด้วยว่าเป็นอย่างไร สังคมบ้านเราไร้ระเบียบมาจนชินแล้ว ในเมื่อไร้ระเบียบมาจนชินแล้ว อยู่ ๆ ไปบีบให้เข้ากรอบ ผลกระทบจึงมีเยอะมาก

ปัจจุบันนี้คนงานพม่าเมื่อกลับประเทศแล้ว ก็มีส่วนน้อยที่จะกลับมา เพราะว่าสมัยก่อนพม่าไม่มีการจ้างงาน แต่ว่าสมัยนี้งานต่าง ๆ เริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ประเทศจีนให้การสนับสนุน ในเมื่อเขารู้สึกว่าอยู่ทางนี้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากขึ้น ไม่คุ้มค่ากับการมาทำงานที่เมืองไทย ก็จะอยู่ทำงานที่บ้านของตัวเอง แม้ว่าเมื่อเทียบแล้วได้
เงินน้อยกว่าเมืองไทย แต่ไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายเบี้ยบ้ายรายทางต่าง ๆ ถือว่าคุ้มค่ากว่า"

เถรี 29-08-2017 17:43

"อาตมาเองไปอยู่ทองผาภูมิปีแรก ๆ ประมาณปี ๒๕๓๒ เขามีคติว่าคนทองผาภูมิหรือสังขละบุรี ต้องมี ๓ ม. ม.แรก คือ ค้าไม้ ม.สอง คือ ค้ามอญ ม.สาม คือ ค้าม้า

ช่วงนั้นป่าไม้ยังไม่เข้มงวดมาก จึงมีการลักลอบตัดไม้ จำหน่ายไม้เถื่อนกัน ถึงได้บอกว่าต้องค้าไม้ พอทางบ้านเราเข้มงวด ก็ข้ามไปเอาไม้จากประเทศพม่าเข้ามา ก็ยังเป็นการค้าไม้อยู่ดี หลังจากนั้นก็เป็นการค้ามอญ คือเอาแรงงานต่างด้าวที่ส่วนใหญ่เป็นมอญเป็นพม่าเข้าเมืองไทยมา เพราะว่ารายได้ดีมาก

ถ้าถามว่าดีขนาดไหน ? แค่พาผ่านด่านเข้าเมืองไทย คนละ ๔,๐๐๐ บาท ถามว่าเข้ามาแค่ด่านแล้วจะไปต่ออย่างไร ? เขาบอกว่าจะมีตำรวจมารับ ตำรวจมารับจ่ายคนละ ๘,๐๐๐ บาท ส่งถึงมหาชัย แปลว่าเข้าประเทศไทยเรามามีค่าใช้จ่ายประมาณ ๑๒,๐๐๐ บาท ก็จะไปถึงแหล่งทำงาน ถ้าหากว่าไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร เถ้าแก่จ่ายให้ก่อน แล้วค่อยทำงานผ่อนส่งก็ได้

ประการสุดท้ายคือค้าม้า ซึ่งก็คือยาบ้าในสมัยนี้ สมัยนั้นเรียกว่ายาม้า รับเข้ามาขายในเมืองไทย ตอนนั้นเม็ดหนึ่งยังแค่ ๑๐ สลึง ๓ บาท แต่พอเข้าเมืองไทยมาเป็นเม็ดหนึ่ง ๒๐ – ๓๐ บาท สมัยนี้คงจะเม็ดละเป็นร้อยแล้ว"

เถรี 29-08-2017 17:45

"เราจะเห็นว่าบ้านเรานั้น ความไร้ระเบียบ การคอรัปชั่น มีตั้งแต่ปลายน้ำไปจนถึงต้นน้ำ เป็นเรื่องที่แก้ไขยากมาก รัฐบาล คสช. เข้ามาด้วยความหวังดี ปรารถนาดี แต่ว่าคนเราที่เคยชินกับการไร้ระเบียบ อยู่ ๆ ไปโดนกระตุกให้มีระเบียบก็รับกันได้ยาก โดยเฉพาะพ่อค้า รัฐบาลไหนมาก็ไม่มีปัญหา เพราะพ่อค้ามั่นใจว่าเงินซื้อได้ทุกที่

บ้านเรากฎหมายบ้านเมืองทุกอย่างบังคับได้แต่คนจน คนจนจะกลัวกฎหมายบ้านเมือง ส่วนคนรวยไม่กลัว จนกระทั่งมีคนพูดกันว่า ถ้าเจอตำรวจแล้วมีปัญหาให้ตะโกนว่า "กูรวยนะ" แล้วเรื่องจะจบ ถ้าภาพพจน์อย่างนี้ออกไปถึงต่างประเทศ จะเป็นภาพพจน์ที่เลวร้ายมาก

ประเทศญี่ปุ่นวางแผนเรื่องจริยธรรมมา ๔๐ กว่าปี ฝึกอบรมตั้งแต่เด็กอนุบาล จนกระทั่งทุกวันนี้เกิดดอกออกผล เพราะว่าคนญี่ปุ่นมีจริยธรรมและจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมสูงมาก ส่วนบ้านเราไม่มีการจัดการในด้านนี้

ที่แน่ ๆ ก็คือการเลี้ยงลูกแบบลูกเทวดา ต้องการอะไรต้องได้ เด็ก ๆ ก็จะเคยชินกับการที่ถึงเวลาอยากได้อะไรแล้วต้องได้ พ่อแม่ต้องหามาให้ ในเมื่อไม่มีระเบียบเสียตั้งแต่เล็ก บังคับลูกไม่ได้ตั้งแต่เล็ก โตขึ้นก็เป็นไม้แก่ดัดยาก ถ้าจะแก้ไขต้องรื้อระบบตั้งแต่ในบ้าน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมมาเลย"

เถรี 29-08-2017 19:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "มั่นใจเลยว่า พวกเราไม่ได้อยู่ในวงการพระเครื่องหรือในวงการเครื่องรางของขลัง เพราะว่าของบางอย่างลงในกระทู้ไปแล้ว ไม่รู้จักกันเลย อย่างเหรียญหล่อนางกวัก หลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม คนที่มีนี่ขนาดเอาปืนจี้ยังไม่ยอมให้เลย แต่พอลงเว็บแล้วไม่มีใครรู้จัก ปล่อยทิ้งอยู่อย่างนั้น

เหรียญหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ถ้าไม่ใช่เหรียญรูปท่านที่ติด ๑ ในเบญจภาคีเหรียญแล้ว เขาจะหาเหรียญหล่ออรุณเทพบุตรหรือเหรียญหล่อนางกวักกันทั้งนั้น"

เถรี 29-08-2017 19:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปหลวงปู่จันทร์ วัดตาเจีย ที่โด่งดังขึ้นมา เพราะว่าหลวงพ่อเดินหนท่านไปปลุกเสกเอง แล้วคนที่ได้เจอท่านเต็ม ๆ ก็ในงานนั้นแหละ อาตมาเองก็เหลืออยู่ แค่ ๒ รูป เอาไว้ปลายปีมีอารมณ์แล้วค่อยเอามาลงใหม่ ขอให้เลยกฐินปลดหนี้ไปก่อน"

ถาม : ท่านมาแบบกายเนื้อหรือครับ ?
ตอบ : กายเนื้อหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่คนเห็นกันทั้งงาน ตอนแรกก็ได้แต่สงสัยว่า หลวงปู่องค์นี้มาจากไหน ? ทั้งสูงทั้งใหญ่แบบนี้

เถรี 30-08-2017 09:53

ถาม : มีการไหว้ราหูช่วงที่ผ่านมา หนูสงสัยว่าทำไมต้องเป็นของดำ ใครเขากำหนดมา ?
ตอบ : พวกอาจารย์โหราศาสตร์เขากำหนดมา ของดำหายากจะตาย

ถาม : เราควรจะทาสีดำตามเขาไหมคะ ?
ตอบ : ก็ควรจะเป็นของดำตามเขานั่นแหละ

ถาม : ใครเป็นคนกำหนดว่าต้องเป็นของดำ ?
ตอบ : ราหูเป็นตัวแทนของเงามืด เขาเลยเอาอะไรที่ดำ ๆ

ถาม : มีเทพเจ้าชื่ออสุรินทราหู ?
ตอบ : อสุรินทราหูเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ที่ไหว้ส่วนใหญ่เขาไหว้เทวดาชั้นจาตุมหาราช ที่ทำหน้าที่เป็นเทวดานพเคราะห์เท่านั้น

ถาม : แล้วหนูต้องไหว้ของดำตามเขาไหมคะ ?
ตอบ : ใช้ตามเขาจะได้ไม่โดนด่า ไม่อย่างนั้นเขาว่าเราบ้าอยู่คนเดียว

ถาม : ต้องจุดธูปกลางแจ้งไหมคะ ?
ตอบ : เขานิยมอย่างไรก็ทำตามเขาไป จะได้ไม่เป็นขี้ปากชาวบ้าน

เถรี 30-08-2017 09:58

ถาม : ผมฝึกสมาธิได้ถึงฌาน ๔ แล้ว ต้องทำอย่างไรต่อบ้างครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ถ้าถึงระดับนั้นแล้วซักซ้อมให้คล่องตัว จนสามารถเข้าถึงทุกเวลาที่ต้องการ

ถาม : แล้วเราต้องไล่ฌาน ๑ - ๒ - ๓ ไหมครับ หรือเข้าได้เลย เพื่อมาวิปัสสนา ?
ตอบ : ก็แค่ลดกำลังลงมาให้พิจารณาได้ แล้วก็เริ่มพิจารณาทุกอย่างให้เห็นว่าไม่เที่ยง เห็นว่าเป็นทุกข์ เห็นว่าไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

ถาม : ลดลงมาแค่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ให้มากนักก็แค่รู้ลมหายใจเข้าออกตลอด ๓ ฐานก็พอ ถ้ามากกว่านั้นเดี๋ยวหลุด ทำได้แล้วสำคัญตรงซักซ้อมการเข้าออกให้คล่องไว้ จะได้ช่วยระวังกิเลสได้ทัน ถ้าเข้าไม่ทันกิเลสมาก็โดนตีหัวแตก

เถรี 30-08-2017 10:09

ถาม : กำลังของผม ถ้าจะฝึกมโนมยิทธิต่อจะเห็นไหมครับ ?
ตอบ : กำลังคุณเกินมโนมยิทธิไปแล้ว ถ้าจะฝึกต้องลดกำลังลงมา คือสามารถฝึกได้ เพียงแต่ว่าถ้าไปรวบรัดเรื่องตัดกิเลสจะดีกว่า

ถาม : หรือควรฝึกเพื่อละกิเลสมากกว่า ?
ตอบ : เราฝึกเพื่ออะไร ? พระพุทธเจ้าพยายามแนะนำให้เราเข้าถึงความพ้นทุกข์ คราวนี้พอทำมาถึงตรงนี้แล้วจะอยู่เฉย ๆ ก็ตามใจ เขามีแต่หนีไปเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น รีบ ๆ ตัดกิเลสให้ได้ก่อน

ที่เมื่อคืนบอกว่า พวกเราส่วนใหญ่ปฏิบัติธรรมเหมือนกับคนมีเวลามาก ทั้ง ๆ ที่ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก ก็ยังอยากทำโน่นอยากทำนี่ ควรที่จะเร่งรัดตัดกิเลสเพื่อเอาตัวเองให้พ้นจากวัฏสงสารกลับไม่ทำ

เถรี 30-08-2017 19:32

ถาม : ลักษณะที่หลงระเริง ถือว่าปรามาสพระรัตนตรัยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคิดอย่างนั้นก็ปรามาสทุกคนนั่นแหละ ต้องบอกว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือมีความเห็นผิด เรื่องแบบนี้ต้องให้คิดได้เอง ถ้ายังไม่เบื่อ ไม่เข็ด คนอื่นแนะนำอย่างไรก็ไม่ฟัง ก็ยังทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยจนกว่าจะคิดได้เอง ตัดสินใจได้เอง หรือเกิดความเข็ดกับความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าอย่างนั้นก็จะรีบเลี้ยวเข้าทางตรง แล้วก็จะไปเสียดายเวลาว่า เราไม่น่าจะปล่อยไว้นานขนาดนี้เลย

เรื่องของการก้าวพ้นจากกองทุกข์เป็นเรื่องยาก เหมือนอย่างกับการสร้างกำแพงเมืองจีนจะให้เสร็จ ต้องรีบสร้าง ไม่ใช่ทำเสร็จท่อนหนึ่งแล้วก็นั่งเอกเขนกฉลองกัน ...(หัวเราะ)...

เถรี 30-08-2017 19:50

ถาม : พระอาจารย์เคยไปทะเลเจดีย์พม่าแล้วยังครับ ?
ตอบ : ไปมา ๗-๘ ครั้งแล้ว

ถาม : เขาสร้างทำไมตั้งเยอะแยะครับ ?
ตอบ : เขาอยากได้บุญ พม่ามีค่านิยมสร้างเจดีย์เหมือนกับที่บ้านเราสร้างพระพุทธรูป เพราะคำว่า เจติยะ แปลว่า เครื่องระลึกถึง พระพุทธรูปจัดเป็นเจดีย์อย่างหนึ่ง เรียกว่า อุเทสิกเจดีย์ พม่าเขาจึงนิยมสร้างเป็นเจดีย์ ไม่ได้สร้างเป็นพระแบบบ้านเรา แล้วพระเจ้าแผ่นดินท่านไม่หวง ถึงเวลาใครจะสร้างก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นการแข่งบุญแข่งบารมี

ในเมื่อเปิดโอกาสให้เขาก็แห่สร้างกันเต็มเลย บรรดาเชื้อพระวงศ์หรือเจ้าประเทศราช ที่มีกำลังถึง มีทุนทรัพย์ถึง ก็สร้างกันใหญ่โตมโหฬาร บรรดาเจดีย์อย่างอนันดา สุรมณี ธรรมยันจี พวกนี้เหมือนอย่างกับเมืองหนึ่งเลย จะมีกำแพงเมือง มีประตูเมือง ๔ ทิศ กว่าจะเข้าถึงเจดีย์ได้

นั่นเป็นสาหตุหนึ่งที่ทำให้พุกามกลายเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย เพราะว่าขุดดินไปปั้นอิฐสร้างเจดีย์ จนหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไม่มีเหลือ แล้วยังตัดต้นไม้ไปเผาอิฐอีก จึงไม่เหลืออะไรเลย ปัจจุบันนี้ที่เหลือก็แต่ต้นไม้หนามไม่กี่ต้น แล้วก็อาจจะมีนาข้าวบ้าง

ศรัทธาทำให้คนสร้างทะเลเจดีย์หรือสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา อย่างปิรามิด คำสั่งเจ้านาย...ลองไม่ทำดูสิ เจ้านายมีศรัทธาจะสร้าง ของจีนตอนนี้เขาก็รอเปิดสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ความจริงเขาค้นพบมานานมากแล้ว แต่ยังไม่เปิด เพราะยังไม่มั่นใจเทคโนโลยีที่มีอยู่ว่าจะรักษาสภาพไว้ได้หรือเปล่า

เถรี 30-08-2017 20:14

ถาม : ทำไมเขาจึงบอกว่าไม่ควรดูสุริยุปราคา ?
ตอบ : ก็เห็นเขาแย่งไปดูกัน

ถาม : แล้วเรื่องการห้ามดูสุริยุปราคานี่เชื่อถือได้ไหมคะ ?
ตอบ : ในความเป็นจริงเราต้องเชื่อกรรม สิ่งที่เชื่อถือมาแต่โบราณบางอย่างก็พิสูจน์ได้ว่าไม่จริง บางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าอย่าไปลบหลู่ แต่เรื่องดูสุริยคราสนี่คงจะใช้กับสายวัดศีรษะทองไม่ได้ วัดนั้นสร้างราหู ต้องดูเวลาสุริยคราสหรือจันทรคราส ถึงเวลาแล้วก็จารอักขระ ฤกษ์ตามตำรามีอยู่แค่หน่อยเดียวว่า พอคราสเริ่มคลายตัวก็เริ่มจาร พอคราสพ้นไปก็เลิก คือถือเคล็ดในลักษณะกลับร้ายให้กลายเป็นดี

เถรี 01-09-2017 08:54

พระอาจารย์กล่าวว่า “สมัยอาตมายังเด็กอยู่ ก็น่าจะสัก ๕๐ ปีที่แล้ว มีความเชื่อกันว่า คนที่จะแต่งงานกันได้ ต้องเคยทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกันมา ถ้าไม่เคยทำอย่างนั้นจะไม่มีโอกาสเกิดมาเป็นคู่กัน

ฉะนั้น...สมัยก่อนหรือแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ตาม ถ้ามีพิธีสงฆ์ก็จะตักบาตรพร้อมกัน แล้วก็จะมีรายการว่าใครจะจับทัพพีข้างบนใครจะจับข้างล่าง เขาถือว่าถ้าใครจับทัพพีด้านบน คนจับด้านล่างต้องเป็นผู้ตาม

บางรายนี้ญาติพี่น้องแทบจะวางมวยกัน เพราะว่าเชียร์ให้ฝ่ายสามีหรือภรรยาจับด้านบน อีกครอบครัวหนึ่งก็จะไม่พอใจ เหมือนอย่างกับตั้งใจว่าจะข่มเหงรังแกลูกของเขา"

เถรี 01-09-2017 08:56

"แม้แต่ปัจจุบันนี้ ที่ทองผาภูมิมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่ใส่บาตรร่วมกันทุกวัน อาตมาบิณฑบาตที่ทองผาภูมิมาก็เป็นสิบปี สามีภรรยาคู่นี้ก็ใส่บาตรด้วยกันมาตลอด จนกระทั่งวัยเลยเกษียณมาหลายปีแล้ว ถึงเวลาก็จับขันข้าวพร้อมกัน จับทัพพีพร้อมกัน

ในสมัยก่อนเขาว่าบุพเพสันนิวาส คือการอยู่ร่วมกันแต่ปางก่อน จะเป็นสาเหตุให้เราเกิดมาคู่กันในชาตินี้ พอมาช่วงอาตมาเรียนหนังสือตอนประถมปลาย ชาย เมืองสิงห์ ก็ร้องเพลงที่ว่า ชาติก่อนเราเพียง คู่เคียง เด็ดดอกไม้ร่วมต้น แต่ว่าเราสองคน ไม่สนใจ ใส่บาตรร่วมขัน” เกิดมาชาตินี้ก็เลยผิดหวัง ได้เจอหน้ากันเฉย ๆ ไม่ได้แต่งงานกัน ก็เลยยิ่งตอกย้ำความเชื่อนี้เข้าไปใหญ่"

เถรี 01-09-2017 08:59

"ความจริงการเกิดมาเป็นคู่กันนั้น ในบาลี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามี ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ ท่านบอกว่า บุพเพสันนิวาส คือเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติก่อน บาลีท่านว่า ปุพฺเพว สนฺนิวาเสน ประเภทที่ ๒ ท่านว่าเกื้อกูลกันในปัจจุบันนี้จนเห็นอกเห็นใจกัน บาลีว่า ปจฺจุปนฺน หิเตน วา

ดังนั้น...ที่ใครเกิดมาแล้วบอกว่าอาภัพคู่ ไม่มีเนื้อคู่ ไม่จริงหรอก คำว่าไม่มีเนื้อคู่ หมายความว่าไม่มีคนที่สร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมาแต่ชาติก่อน ๆ แต่ก็ยังมี ปจฺจุปปนฺนหิเตน วา คือเกื้อกูลสร้างประโยชน์ให้แก่กันและกันในชาติปัจจุบันนี้

ท่านบอกว่า เอวนฺตํ ชายเต เปมํ ถ้าหากว่าอย่างนี้แล้วความรักก็จะเกิดขึ้น อุปฺปลํว ยโถทเก เหมือนอย่างกับดอกบัวกับน้ำที่ขาดกันไม่ได้ อย่างในธรรมบทที่ลูกเศรษฐีหนีตามนายพรานกุกกุฏมิตรไป นายพรานเป็นพรานล่าเนื้อ ๒-๓ วัน ก็แบกเนื้อเข้าเมืองมาขายทีหนึ่ง บังเอิญวันนั้นลูกสาวเศรษฐีอยู่ที่ปราสาทชั้น ๗ มองทางหน้าต่างลงไปเห็นเข้า เกิดความรักขึ้นมาอย่างกะทันหัน เพราะว่าเป็นบุพเพสันนิวาส คือเคยเป็นคู่กันมาแต่ปางก่อน จึงแอบหนีตามกันไปเลย

แต่สมัยนี้ไม่มีโอกาสมองลงมาจากปราสาทชั้นที่ ๗ เห็นแค่ไลน์หากันก็หนีตามกันไปเยอะแล้ว...!"

เถรี 01-09-2017 09:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "ชาวอุตรกุรุทวีปอยู่ด้วยแรงบุญ หลายอย่างเหมือนกับเทวดานางฟ้า อย่างเช่นว่าจะกินข้าวก็แค่เอาข้าวสารมาใส่หม้อ ใส่น้ำลงไปแล้ววางบนแก้วมณี ข้าวจะสุก นุ่ม หอม พอดีกิน ข้าวก็เป็นข้าวไม่มีเปลือก คือไม่มีแกลบ เป็นเม็ดข้าวสารเลย

พวกเราหลายคนก็มีบุญคล้าย ๆ ชาวอุตรกุรุทวีป เกิดมาข้าวเปลือกหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น เห็นแต่ข้าวสาร ถึงเวลาเอาใส่หม้อไฟฟ้า เติมน้ำแล้วกดปุ่มอย่างเดียว แสดงว่าบุญใกล้เคียงกันแล้ว แต่อย่าลืมกดปุ่มด้วย...! เพราะว่าอาตมาเคยได้รับนิมนต์ไปที่บ้านหนึ่งที่ด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี พอสวดมนต์เสร็จสรรพก็ประมาณ ๑๑.๑๐ น. โยมก็ยกอาหารมาประเคน พอเปิดหม้อข้าวร้อง "อุ๊ยตาย...!" ยังเป็นข้าวสารกับน้ำอยู่เลย เสียบปลั๊กแล้วลืมกดปุ่ม ต้องเสียเวลารอไปอีก ๒๐ นาที

ยังโชคดีว่าอาตมาเป็นคนฉันเร็ว มีเวลาครึ่งชั่วโมงนี่ฉันได้เต็มอิ่ม ก็เลยไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ถ้าเป็นพระที่ท่านฉันช้านี่คงจะมีปัญหาอย่างแน่นอน"

เถรี 01-09-2017 09:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "หนังสือของอาตมาที่เป็นหนังสือธรรมะจริง ๆ ไม่ค่อยมี เหตุที่ไม่ค่อยมีก็เพราะว่า คนสมัยนี้อ่านธรรมะตรง ๆ ก็สลบกันหมด จึงเป็นอะไรที่เขียนเล่นเสียส่วนใหญ่"

เถรี 01-09-2017 09:04

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ต้องบอกว่ายืดเยื้อยาวนานมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่จบ สาเหตุเกิดจากความโลภของคนเท่านั้น อาตมานึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสั่งไว้ว่า ถ้าแกไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อตั้งกรรมการวัด ต้องตั้งพระให้มีจำนวนมากกว่าฆราวาส ไม่อย่างนั้นแล้วฆราวาสจะมาทำตัวมีอำนาจเหนือพระ ท่านบอกว่าไม่ว่าวัดไหน ๆ ก็ตาม คนใกล้วัดมักจะพยายามเข้ามาควบคุมพระ โดยเฉพาะควบคุมบัญชีการเงินของวัด

ส่วนวัดของอาตมานั้นไม่ให้กรรมการวัดมีอำนาจอะไรเลย แม้กระทั่งขอให้บอกบุญเรี่ยไรก็ไม่มี เพราะออกกฎของวัดไว้ว่า ห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไร กฐินผ้าป่าก็ห้ามไปหา เพราะว่ามีคนเคยเอาผ้าป่ามาทอดโดยที่ไม่ได้ขออาตมาไว้ก่อน เลยไล่ให้เขาไปทอดที่วัดอื่น โดนเข้าไปครั้งเดียวก็เข็ดกันหมด

ในเมื่อไม่ให้เขามายุ่งเกี่ยวกับการเงินของวัด ก็ไม่สามารถที่จะมาอ้างอะไรได้ทั้งสิ้น ฉะนั้น...กรรมการวัดของอาตมามีหน้าที่อย่างเดียวว่า ถึงเวลามาฟังว่าอาตมาทำอะไรบ้าง แล้วติดหนี้อยู่เท่าไร...เท่านั้นเอง”

เถรี 04-09-2017 18:50

ถาม : หนูอ่านเจอคำว่า สัมปรายภพ เขาแปลว่าภพหน้า หมายถึงนิพพานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...หมายถึงว่าตายแล้วเราไปเกิดที่ไหน ตรงนั้นเรียกว่าสัมปรายภพ ก็คือจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นภพที่ต่างจากปัจจุบันนี้ เขาเรียกว่าสัมปรายภพ ถ้าสามารถไปถึงพระนิพพานได้ ก็ถือว่าเป็นสัมปรายภพที่สุดยอดมาก

เถรี 04-09-2017 18:53

ถาม : ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ตอนตายท่านให้เจาะที่ส้นเท้าแล้วปรอทไหลออกมาเป็นสองกิโล ?
ตอบ : แล้วทำไม ? อยากได้อย่างนั้นบ้าง ? ถ้าไม่เอาออกตายแล้วจะไม่เน่า

ถาม : เป็นจริงหรือครับ ?
ตอบ : พวกนี้เขาเล่นไสยศาสตร์ของการทำปรอทสำเร็จ

ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : นับสายวิชาเขาบอกว่ามี ๑๐๘ อยากเรียนให้ครบไหมเล่า ?


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:44


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว