กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2399)

เถรี 16-01-2011 15:21

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๔
 
ถาม : เดือนที่แล้วพาน้องชายไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม พอกลับมาไม่กี่วันเพื่อนเขาตาย เขาเดินมาบอกหนูว่า ผมคิดได้แล้วครับว่าไม่อยากเกิดอีก หนูควรจะสอนเขาต่ออย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ดีแล้ว ในเมื่อไม่อยากเกิดก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น ถึงเวลากำลังของศีล สมาธิ ปัญญา จะได้ส่งเราให้พ้นจากโลกนี้ ไม่ต้องมาเกิดอีก

ถาม : หนูกลัวว่าเขาโตไป เขาอาจจะไม่ถูกทาง
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป สิ่งที่ได้เริ่มทำเอาไว้ จะเป็นเหตุปัจจัยส่งผลให้เราก้าวเข้าไปสู่ความดีในภายภาคหน้าได้ทั้งนั้น แม้ว่าตอนกลางอาจจะคดบ้าง ท้ายสุดปลายก็จะตรงเอง

ถาม : ส่วนน้องชายอีกคน เขาไม่เอาอะไรเลย
ตอบ : ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาสักวันเดี๋ยวเขาก็เอาเองแหละ หวังดีแต่อย่าทำให้เขารำคาญ มีโอกาสก็แนะนำเขานิด ๆ หน่อย ๆ หรือไม่ก็ชวนเขาทำบุญ

ถาม : น้องชายคนเล็กเวลานั่งรถ เขาไม่มีอะไรทำก็บอกให้เขาสวดคาถาเงินล้านไป เขาก็ทำได้ แต่พออยู่ที่บ้านเขาสวดได้นิดหน่อย เขาบอกว่าอยู่บ้านเขาสวดไม่ได้ หนูอยากให้เขาสวดทุกวัน อย่างน้อยให้เขาสวดวันละกี่จบคะ ?
ตอบ : แรก ๆ เอาแค่ ๙ จบก่อน

เถรี 16-01-2011 15:33

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สมาธิของเราไม่พอ ไม่ใช่นั่งสมาธิให้นานขึ้น แต่ต้องฝึกสมาธิให้ได้ระดับที่สูงขึ้น

ถาม : ถามพระ ท่านบอกว่าหนูอยู่ที่ฌานสี่ให้ถอยลงมา
ตอบ : ไม่ใช่หรอก ถ้าฌานสี่ต้องไปได้แล้วจ้ะ

ถาม : เป็นความรู้สึกว่า หนูได้กราบพระพุทธเจ้า นั่นเป็นแค่ความรู้สึกของเราเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ให้รู้สึกได้ก็พอแล้ว อย่าเพิ่งเอารายละเอียดอะไรมาก

ถาม : หนูลองฝึกกสิณดู นอนฟังเทปและฝึกไปด้วย พอจะถึงกองที่สิบก็ปวดท้องขึ้นมา อีกทีก็ปวดหัวขึ้นมาทันที ยังไม่ใช่วาระที่เราจะฝึกหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : อาจจะเป็นเพียงขันธมารมาขวางเท่านั้น ไปซ้อมบ่อย ๆ เรื่องพวกนี้ต้องขยัน ไม่ซ้อมบ่อยไม่ได้หรอกจ้ะ

ถาม : ทำไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : จ้ะ ทำไปเรื่อย ๆ แล้วกำลังจะสูงขึ้น ถ้ากำลังพอ บางทีไม่ต้องเสียเวลาฝึกหรอกจ้ะ จะไปเองเลย

ถาม : หนูควรจะทำทั้งสิบกองหรือคะ ?
ตอบ : อย่างเดียวก็พอจ้ะ ถ้าเราตั้งใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งจริงก็ไปนิพพานได้แล้ว มัวแต่ทำสิบกองอยู่เสียเวลาด้วยซ้ำไป

เถรี 16-01-2011 19:55

ถาม : เจอเหรียญเก่าตกในบริเวณบ้าน จึงเก็บมา ตั้งใจจะวางไว้บนโต๊ะ
ตอบ : ถ้าบุคคลที่จิตละเอียดเขาจะไม่ถือว่าเป็นของเรา แบบเดียวกับพระโพธิสัตว์ที่เสวยพระชาติเป็นชายตัดฟืน ท่านไปเจอดอกบัวในป่า อยู่ในสระโบกขรณี ตั้งใจจะเก็บไปบูชาพระ พอเก็บดอกบัว ผีเสื้อน้ำตะโกนว่าขโมย พระโพธิสัตว์บอกว่าดอกบัวนี้เป็นของสาธารณะ จะเป็นขโมยได้อย่างไร ?

ผีเสื้อน้ำบอกว่า ถ้าคนอื่นเอาไม่ถือว่าขโมย แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องสอนบุคคลอื่นให้บรรลุธรรม ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำโดยสภาพจิตไม่เห็นว่าเป็นการขโมย แสดงว่ากำลังใจของท่านเองยังบกพร่องอยู่

ฉะนั้น..คนทั่วไปเอาไม่ถือว่าเป็นขโมย แต่ถ้าพระโพธิสัตว์เอาถือว่าเป็นขโมย เพราะจะต้องไปเป็นครูเขา


ถาม : อยู่ในบริเวณบ้านเรา และเป็นเหรียญเก่าจนมองไม่เห็น หนูเลยรีบเอาไปถวายพระทันที
ตอบ : ไปถวายพระก็ถวายไป แต่อย่าเอาไปเป็นของตัวเอง

เถรี 16-01-2011 20:31

ถาม : ที่บ้านโรยทรายเสกของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้แล้ว แต่ยังมีตะขาบเข้าไปได้ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร อะไรที่เข้ามาแล้วไม่เป็นอันตราย จะเข้าออกได้ แต่ถ้าเข้ามาทำอันตรายมีตายให้เห็นกันมาแล้ว

เถรี 16-01-2011 20:53

ถาม : เล่าเรื่องย้ายศาลให้คนในบ้านฟัง เขาไม่อยากย้ายเพราะเป็นศาลของซอย เจ้าที่แรงมาก ใครผ่านมาจะต้องไหว้กราบ
ตอบ : ถ้าหากเป็นของส่วนรวมก็ปล่อยเขาไปสิ อาตมานึกว่าเป็นศาลของบ้าน

ถาม : เป็นศาลของบ้านค่ะ แต่เขาถือว่าเป็นของซอยไปแล้ว
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ยกให้เขาไป อย่าลืมบอกท่านก็แล้วกันว่า สงเคราะห์ผมให้มากกว่าคนในซอยด้วยนะครับ

เถรี 20-01-2011 11:50

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาเข้าป่าเข้าดง เมื่อต้องการความปลอดภัยจะใช้อยู่สองวิธี วิธีหนึ่งคืออาศัย พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขีดเป็นวงล้อมบริเวณนั้น แต่ตอนช่วงเช้าต้องลบทิ้งนะ ถ้าไม่ลบทิ้ง เดี๋ยวพวกท่านที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะเข้าออกกันไม่ได้

หรือไม่ก็ใช้คาถาอิติปิโสแปดทิศ เสกดินหรือหินก็ได้แปดก้อน โยนไปแปดทิศ ในช่วงบริเวณที่ก้อนหินไปถึง ก็จะเป็นเขตปลอดภัยของเรา ถ้าเวลากลางคืนจะไปห้องน้ำห้องส้วมก็อย่าไปให้พ้นเขตนั้น แต่กรณีนี้จะต้องอธิษฐานว่า ถ้าตะวันขึ้นแล้วขอให้หมดอานุภาพ ไม่เช่นนั้นเขตนั้นก็จะกลายเป็นเขตหวงห้ามไปโดยปริยาย

แต่อย่างครูอี๊ด(พนมเทียน = คุณฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ)ท่านจะใช้มีดหมอ ถึงเวลาก็อธิษฐานเอามีดหมอปักดินฝากแม่ธรณีไว้เลย ถ้าจะมีอันตรายเกิดขึ้น มีดหมอจะสั่นสะเทือนขึ้นมาให้รู้สึกตัวตื่นทันก่อนเสมอ"

ถาม : สะเทือนแรงขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : ก็ขนาดทำให้คนปักมีดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คนที่เขาตั้งใจปลุกจะต้องตื่น

เถรี 20-01-2011 12:00

วันศุกร์ ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) ได้พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ ชาวต่างชาติผู้นี้เห็นพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เกิดความสนใจ จึงถามพระอาจารย์โดยมี ดร.เก้าเป็นล่ามให้

ถาม : พระเขี้ยวแก้วมาได้อย่างไร ?
ตอบ : อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้เหมือนกัน ว่ามาได้อย่างไร

ถาม : เพื่อนเขาบอกว่า ปกติกระดูกคนก็เป็นคาร์บอนธรรมดา
ตอบ : วัตถุทุกอย่างที่แตกต่างกันนั้น เกิดจากการจัดเรียงโมเลกุลภายในวัตถุนั้นต่างกัน คราวนี้บุคคลที่ปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง พลังงานของท่านจะไปจัดเรียงโมเลกุลของตนเองใหม่ ถึงจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็จัดใหม่ไปแล้ว เมื่อพลังงานนั้นไปจัดเรียงโมเลกุลใหม่ ถึงเวลาแล้วก็จะเกิดความต่างจากบุคคลทั่วไปที่ยังทำไปถึงตรงนั้นไม่ได้

บุคคลที่ฝึกพลังจิตไปจนถึงระดับหนึ่ง จะเกิดการชะล้างและเปลี่ยนแปลงภายใน จะทำให้กระดูกจากที่เป็นคาร์บอนทั่วไป สามารถเปลี่ยนสภาพได้ พลังงานส่วนนี้ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ที่ท่านต้องการจริง ๆ ก็คือ ใช้พลังงานมหาศาลนี้ในการปรับสภาพจิตใจของบุคคลทั่วไป ที่ปกติอยู่ภายใต้ ความรัก โลภ โกรธ หลง ท่านจะใช้พลังงานตัวนี้เพื่อก้าวพ้นความรัก โลภ โกรธ หลงนี้ไป จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากเกิดแล้วเกิดอีก

สิ่งเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นเป็นแค่ผลพลอยได้ แต่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ คือ ซักฟอกจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส บรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติถึงแล้ว กระดูกเป็นแก้วอย่างนี้มีมากมาย ถ้ามีโอกาสก็พาเพื่อนไปดูตามพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ต่าง ๆ บ้าง

พลังจิตที่ท่านฝึกได้จนถึงที่สุดแล้ว ความมากมายมหาศาลของกำลังจิตนั้น จะเปลี่ยนสภาพจิตจากที่ไม่ดีให้กลายเป็นดี ทำให้สิ่งรอบข้างพลอยเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีไปด้วย กลายเป็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ของแถมในการปฏิบัติเท่านั้น เป้าหมายใหญ่จริง ๆ ก็คือ การชำระใจให้หมดจากกิเลส อย่างอื่นเป็นของแถมทั้งหมด คุณเองก็ทำได้..!

ถาม : เพื่อนเขาบอกว่าจะลองดู..!
ตอบ : บอกเขาให้ค่อย ๆ ทำไป พอถึงเวลาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสภาพร่างกายก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพของจิตใจที่ดีขึ้นนั้น

โยมเขาน่ารักมาก เป็นชาวต่างชาติต่างภาษายังพยายามจะศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ

เถรี 20-01-2011 12:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามีโอกาส ให้ลองไปอ่านดูในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ ท่านกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้า มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ เกิดจากการสร้างบุญอะไรมาบ้าง ?

ถ้าอย่างพวกเรามีกำลังใจเหมือนหนุ่มเยอรมันคนนั้นไหม ? พอเห็นพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เขาสงสัยว่ากระดูกคน แม้กระทั่งฟันซึ่งเป็นคาร์บอน จะเป็นแก้วได้อย่างไร ? พออธิบายให้เขาฟัง เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ขอวิธีทำ สุดยอดจริง ๆ

อาตมาชอบใจฝรั่ง ตรงที่แต่ละคนเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะที่ทำอะไรก็ทำจริง ฉะนั้น..เวลาฝรั่งปฏิบัติธรรมมักจะได้ผลมากกว่าพวกเรา พวกเราอยู่ในลักษณะจับจด ไม่แน่นอน ประเภทหนูอยู่บนถังข้าวสาร คิดว่าจะกินเมื่อไรก็ได้ ส่วนพวกเขาเป็นหนูท้องกิ่ว มาถึงก็กินกระจายเลย..!"

เถรี 20-01-2011 13:00

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีมีลักษณะใดเป็นมหาปุริสลักษณะบ้างไหมคะ ?
ตอบ : ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านกราบขอขมาและขออนุญาตวัดร่างกายหลวงปู่ปาน ก็คือ ร่างกายของหลวงปู่ปานช่วงซ้ายกับช่วงขวาจะเท่ากัน ช่วงบนกับช่วงล่างเท่ากันพอดี

ลักษณะที่ตำราบอกว่า พระพุทธเจ้าจะมีพระวรกายเหมือนกับต้นไทร ก็คือ ด้านกว้างกับด้านสูงจะมีขนาดเท่ากัน หลวงพ่อลองวัดจากกลางอกขวาไปสุดแขนขวา วัดจากอกซ้ายไปสุดแขนซ้าย วัดจากสะดือขึ้นถึงศีรษะ จากสะดือลงสุดปลายเท้า สรุปว่าเท่ากันหมด ทดสอบได้แน่ ๆ ว่า มหาปุริสลักษณะมีจริง ๆ

เรื่องพวกนี้เป็นของยาก ถ้าไม่จำเป็นก็ไปทางลัดดีกว่า แค่จะสู้กับกิเลสชาติหนึ่งก็สาหัสแล้ว ถ้ายังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ยาก บำเพ็ญบารมีมาอย่างต่ำก็ ๒๐ อสงไขยกัป

อย่างพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ บาลีเขาบอกว่า จิตติตัง สัตตสังเขยยัง แค่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ ๗ อสงไขยกัป นวสังเขยยะ วาจะกัง เอ่ยปากจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกัป รวมเป็น ๑๖ อสงไขยกัปแล้ว หลังจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกาย วาจา ใจ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัป เพราะฉะนั้น..อย่างน้อยเจอไป ๒๐ อสงไขยกัปนะจ๊ะ ไม่ใช่แค่ ๔ อสงไขยกับอีก ๑ แสนมหากัปเท่านั้น แค่กัปเดียวก็เกิดจนนับไม่ถ้วนแล้ว

เถรี 20-01-2011 13:19

ถาม : ช่วงปีใหม่ลูกน้องเอารังนกมาให้เจ้านาย เจ้านายเขาบอกว่าไม่อยากได้รังนก เขาอยากได้เหล้า เขาให้เงินลูกน้องไปซื้อ แต่ดิฉันกลัวว่าจะผิดศีล ?
ตอบ : ซื้อก็ไม่ผิดศีล ขายก็ไม่ผิดศีล ต้องกินถึงจะผิดศีล ถ้าเราไม่ได้เปิดขวดแล้วบีบปากเขากรอกลงไป เราก็ยังไม่ผิดศีล

เพียงแต่พระพุทธเจ้าบอกว่า การให้เหล้าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ให้ไปไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เถรี 20-01-2011 13:32

พระอาจารย์ถามพวกเราว่า "พวกเราจะไปนิพพานใช่ไหม ? มั่นใจหรือยัง ? จะไปแน่นอนแล้วนะ ? แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน ? ไม่รู้จักไปไม่ได้นะจ๊ะ

ถ้าเขาบอกให้ไปอำเภอแม่ลาน มีใครรู้บ้าง อำเภอแม่ลานอยู่ที่ไหน ? ถ้าไม่รู้จักก็ไปแม่ลานไม่ถูก ถ้าไม่รู้จักนิพพานก็ไปนิพพานไม่ถูก อำเภอแม่ลานอยู่จังหวัดสงขลา

อันดับแรก เราต้องรู้เป้าหมายก่อน เป้าหมายคือนิพพาน เมื่อกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนแล้ว ก็ต้องรู้ด้วยว่าทางไปคืออะไร ? คราวนี้ทางไปพระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดแล้ว ก็คือ มรรคแปด ย่อลงมาเหลือศีล สมาธิ ปัญญา

คราวนี้ไม่ต้องย่อ ลองเอาเต็ม ๆ ดูซิ..มรรคแปดประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรที่เป็นที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ สัมมาสังกัปปะ คิดได้ถูกต้อง เช่น คิดไม่พยาบาท คิดไม่เบียดเบียนเขา คิดออกจากกาม คิดจะหลุดพ้นไปนิพพาน

สัมมาวาจา พูดได้ถูก อย่างเช่นว่า ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อ สัมมากัมมันตะ ปฏิบัติได้ถูก ก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย เป็นต้น สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตได้ถูก คือ ทำมาหากินได้ถูกต้องทั้งกฎหมายและศีลธรรม ไม่เบียดเบียน ลักขโมย ช่วงชิง ฉ้อโกงใครเขามา

สัมมาวายามะ เพียรพยายามได้ถูก คราวนี้เริ่มยากแล้ว ถามว่าเพียรอะไร ? เพียรในการละความชั่วในใจของเรา เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นในใจของเรา ก็คือ ตัดความชั่วออกไปให้ได้ แล้วระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้นมาอีก
เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา และเพียรรักษาความดีให้อยู่ในใจของเราไว้ อันนี้ก็คือ ทำดีให้ได้ แล้วรักษาดีให้อยู่

เริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ"

เถรี 20-01-2011 13:43

"ต่อไปก็ สัมมาสติ ตั้งสติไว้ถูกต้อง ก็คือ มีความรู้ตัวอยู่เสมอ เช่น รู้ตัวว่าเราจะต้องตาย ตายแล้วเราจะไปไหน โดยเฉพาะท่านให้ตั้งสติไว้ในสติปัฏฐานทั้งสี่ คือ กำหนดรู้กายทั้งภายในและภายนอก กำหนดรู้เท่าทันเวทนาทั้งสุขและทุกข์ ทั้งไม่สุขและไม่ทุกข์ กำหนดรู้จิตในจิต สิ่งต่าง ๆ ที่คำนึงครุ่นคิดอยู่ จะดีหรือชั่ว ต้องกำหนดรู้เท่าทันทั้งหมด และกำหนดรู้ธรรมในธรรม คือ ธรรมารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของตน เช่น นิวรณ์ ๕ เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายทั้งหมดนี้ กำหนดรู้เท่าทัน รู้แล้วปล่อยวาง ไม่ใช่รู้แล้วแบกเอาไว้ ท้ายสุด สัมมาสมาธิ ตั้งสมาธิไว้ถูกต้อง ก็คือ สมาธิที่เราทรงในระดับฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้าหากยังไม่ถึง ก็ไม่จัดเป็นสัมมาสมาธิ เพราะไม่สามารถใช้ในการตัดกิเลสได้

คราวนี้มีปัญหามาอีกตรงที่ว่า กิเลสหน้าตาเป็นอย่างไร ? ตายแล้ว..เตรียมอาวุธไว้เต็มที่เลย แล้วจะไปตีกับใคร มีใครรู้บ้าง กิเลสมีกี่อย่าง ? ตอบได้ไหม ?

กิเลสมีอยู่ ๓ อย่าง หรือ ๓ ระดับด้วยกัน อันดับแรกเขาเรียกว่า วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสที่เราล่วงละเมิดแล้วเกิดความชั่วด้วยกาย ด้วยวาจาของเรา อย่างเช่น การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การดื่มสุราเมรัย การพูดโกหก ถ้าล่วงละเมิดอย่างนี้เมื่อไร เรียกว่า วีติกกมกิเลส"

เถรี 20-01-2011 14:27

"อย่างที่สอง เป็นกิเลสที่คุกรุ่นอยู่ในใจของเรา เหมือนภูเขาไฟรอวันระเบิด เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส อย่างเช่นนิวรณ์ ๕ มี กามฉันทะ ครุ่นคิดถึงในกาม พยาบาท โกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น ถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน รำคาญ หงุดหงิด ท้ายสุด วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยว่าผลการปฏิบัติจะมีจริงหรือไม่จริง ? พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงหรือเปล่า ?

ถ้าหากเราไม่สามารถจะหยุดปริยุฏฐานกิเลสนี้อยู่ ไม่สามารถจะห้ามเอาไว้ได้ได้ พอล้นออกมาเมื่อไรก็จะเป็นวีติกกมกิเลส ก็คือจะทำผิดศีลทันที

ตัวสุดท้ายเรียกว่าอนุสัยกิเลส จะเป็นเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ก็คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจของเรา เหมือนตะกอน
น้ำที่นอนก้นอยู่

ปกติเราเห็นว่าน้ำใส แต่เกิดจากการที่ยังไม่มีสิ่งที่มากระทบ ถ้ามีสิ่งที่มากระทบเมื่อไร น้ำนั้นจะขุ่นขึ้นมาทันที แบบเดียวกับลูกศิษย์หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ลูกศิษย์คนนี้เป็นเศรษฐีนี รวยมาก ทำมาหากินก็เครียดตามปกติ ได้ยินว่าหลวงปู่สดเก่งมาก สามารถแก้ไขปัญหาทั้งทางโลกและทางธรรมได้ ก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็สอนให้ภาวนาสัมมาอะระหัง กำหนดตั้งแต่ดวงปฐมมรรคไล่ไปเรื่อย

จนตัวเองปฏิบัติก้าวหน้าดี จากคนที่อารมณ์ร้ายชนิดที่คนใช้ในบ้านทำอะไรผิด ก็โดนด่าไปสามวันสามคืน วันนั้นคนใช้ทำแก้วเจียระไนตกแตกทั้งชุดเลย ปรากฏว่าแกเฉย แกก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมเป็นอย่างนี้ จึงไปเล่าให้หลวงปู่สดฟังว่า "ดิฉันหมดกิเลสแล้วค่ะ วันนี้คนใช้ทำแก้วเจียระไนที่รักมาก ตกแตกทั้งชุด ดิฉันยังไม่มีความโกรธเลย"

หลวงปู่สดบอกว่า "อย่าเพิ่งไว้ใจนะ"
"จริง ๆ เจ้าค่ะ จนป่านนี้ก็ยังไม่โกรธเลย"

"อย่าเพิ่งไว้ใจ เพราะอาจจะกำเริบอีกเมื่อไรก็ได้"
"ไม่กำเริบแน่นอนค่ะ จนป่านนี้ดิฉันยังไม่มีความรู้สึกเลย"

"อีตอแหล..พูดขนาดนี้ยังไม่รู้จักฟัง..!"
"อ้าว..ทำไมท่านพูดอย่างนี้ละเจ้าคะ นี่ท่านด่าดิฉันแล้วนะคะ..!"

หลวงปู่ท่านถามยิ้ม ๆ ว่า "คราวนี้เป็นอย่างไร ? กำเริบแล้วใช่ไหม ?"

กิเลสที่นอนนิ่งอยู่ เพราะโดนอำนาจของสมาธิกดเอาไว้ ถ้าไปกวนไม่ถูกจุดก็ยังไม่เกิดขึ้น"

เถรี 20-01-2011 19:34

"เมื่อเรารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราหน้าตาเป็นอย่างไร วีติกกมกิเลส ที่ล่วงละเมิดออกมาทางกายและวาจา เราก็ใช้ศีลเป็นเครื่องตีกรอบบังคับไว้ ใจเราอยากฆ่าสัตว์ ก็ต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ไม่ฆ่า ยอมตายดีกว่าศีลขาด อยากลักขโมยจนใจจะขาด นั่งเหงื่อตกอยากได้ของเขาก็ไม่ขโมย มีโอกาสล่วงละเมิดลูกเขาเมียใคร ก็ฝืนใจ อดใจเอาไว้ มีโอกาสที่จะโกหกหลอกลวงใคร ก็ห้ามใจตัวเองไว้ อยากจะดื่มสุราเมรัยก็หักห้ามใจตัวเองเอาไว้

ถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็แปลว่า กิเลสชั้นแรกที่เป็นของหยาบ เราพอที่จะสู้ได้แล้ว แต่กิเลสนั้นยังไม่ตาย เราแค่ล้อมคอกกันเอาไว้ได้เท่านั้น เท่ากับว่าอันดับแรก เราล้อมคอกกันตัวกิเลสหยาบไว้ได้แล้ว

ไปต่อก็ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่กรุ่นอยู่ในใจของเรา ทำอย่างไรที่จะเอาให้อยู่ ? คำตอบง่ายมากเลย ก็คือใช้กำลังของสมาธิเข้าข่มเอาไว้ อย่างที่คุณนายท่านนั้นเขาทำ พอทำไปทำมา เหยียบกิเลสแบนอยู่ใต้ตีน แต่ก็ยังไม่ตาย เพียงแค่นิ่งสงบไปชั่วคราวเท่านั้น เผลอหลุดเมื่อไรมาใหม่แน่ ตรงนี้ต้องใช้กำลังของสมาธิช่วยเป็นอย่างมาก

พอท้ายสุดคือ อนุสัยกิเลส ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า กิเลสเหล่านี้นั้นเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร จะได้เบื่อหน่าย สลัดทิ้งไปเสียที

กามราคานุสัย อนุสัยเกี่ยวกับกามราคะ พาเราสร้างโลก สร้างกิเลส สร้างตัณหาทุกประการให้แก่เรา เป็นอย่างนี้มาชาติแล้วชาติเล่าจนนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะพอ ควรที่จะเข็ดหรือยัง ? ควรที่จะละ จะเลิกหรือยัง ?

ปฏิฆานุสัย อารมณ์กระทบต่าง ๆ ที่เข้ามา ตาเห็นรูป ชอบใจก็เป็นราคะ ไม่ชอบใจก็เป็นโทสะ กิเลสหลอกกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส โดนเหมือนกันหมด กระทบเมื่อไรถ้าสติตามไม่ทันกิเลสเกิดทันที พาเราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะเข็ดกันที พอกันทีหรือยัง ?

อวิชชานุสัย ความโง่ที่สิงใจของเราอยู่ ยังเห็นว่าการเกิดนี้ดี ยังเห็นว่าโลกนี้ดี ยังเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรแล้วยังมีความรู้สึกชอบ ยังมีความรู้สึกพอใจ ถ้าเป็นแบบนี้เราเสร็จเขาแน่ ๆ"

เถรี 20-01-2011 23:27

"เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นรากเหง้าใหญ่ที่จะพาให้เราทุกข์ ต้องเกิดมาไม่รู้จบ เราควรที่จะเลิกคบกันเสียที ก็ตั้งหน้าตั้งตาใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยร่างกายนี้เป็นคูหาคือที่อาศัย

ถ้าปราศจากร่างกายนี้อย่างเดียว กิเลสก็ไม่มีอะไรที่จะอาศัยอยู่ได้ ก็จะไปเข้าจุดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อนัตตา ความไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีตัวแล้วกิเลสจะมาทำอะไรเราได้หรือเปล่า ? ก็ทำไม่ได้

สมมติว่ากิเลสจะผูกเรา เรามีมือ กิเลสก็ผูกเราได้..ใช่ไหม ? แต่ถ้าเราไม่มีมือเล่า ? กิเลสจะเอาอะไรมาผูก ? ฟังดี ๆ นะ..นิดเดียวแค่นั้น วันนี้ถ้าหากใครทำได้หลุดพ้นเลย ทั้งหมดก็มาลงตรงนี้
อนัตตา

แต่คนเรามาถึงก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาถึงความไร้ตัวตน เมื่อครู่ที่ถามในตอนแรกว่ารู้จักนิพพานไหม ? ถ้าเราไม่รู้จักแล้วจะไปอย่างไร ? ตรงนี้เราต้องมองย้อนกลับ ในเมื่อเป็นอนัตตาก็เลยทุกขัง คือ ไม่มีตัวตนแต่เราไปยึดถือว่ามีเราก็ทุกข์ และ ในเมื่อไม่มีตัวตนเราไปยึดถือว่ามีก็เลยอนิจจัง ไม่เที่ยง

เราลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นอัตตาเล่า ? ก็ต้องสุขขัง แล้วก็ต้องนิจจัง ก็คือ ถ้าเป็นตัวตนที่มั่นคงก็ต้องมีแต่ความสุข ก็จะต้องมีแต่ความเที่ยง นี่แหละนิพพาน..!

เราวิ่งมาถึงนี่ คือตัวที่ต้องตัดทิ้ง (อนิจจัง --> ทุกขัง ---> อนัตตา) แต่ถ้าเราวิ่งย้อนกลับมาเมื่อไร ก็คือ สภาพสภาวะนิพพานที่เราต้องไปถึง (อัตตา ---> สุขขัง ---> นิจจัง) แต่คราวนี้ทำอย่างไรที่เราจะไม่พลาดไปยึดเป็นอัตตา เพราะว่าอัตตาตรงนี้เป็นปรมัตถ์สัจจะ ไม่ใช่สมมติสัจจะ

ถึงจะเป็นปรมัตถ์สัจจะ แต่ถ้าเราไปบอกว่าเป็นอัตตา คนอื่นก็จะเถียงว่าเป็นอนัตตา พระพุทธเจ้าท่านจึงอธิบายว่านิพพานเป็นสถานที่พิเศษ พระองค์ท่านตรัสว่า

"ดูก่อน..ภิกขุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่พระจันทร์ ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ.."

ในเมื่อไม่ใช่สิ่งสมมติทั้งหลายเหล่านี้ จึงไม่ใช่อัตตาและไม่ใช่อนัตตา เพราะถ้ากล่าวเป็นอัตตาก็ต้องเป็นอนัตตา ก็จะค้านกับคำสอนของพระองค์ท่านเอง"

เถรี 20-01-2011 23:33

"เพราะฉะนั้น..ตรงจุดนี้ถ้าเรามองย้อนกลับเพื่อจะได้รู้จักพระนิพพาน เราจะต้องเข้าใจนะว่าเป็นคนละระดับกัน คือ เป็นระดับของปรมัตถธรรม ไม่ใช่สมมติสัจจะทั่ว ๆ ไป

ในเมื่อเราย้อนกลับ ถ้าเป็นอนัตตาก็ไม่มีอะไรผูกพันเราได้ พอรอดพ้นไป เราก็จะเข้าถึงอัตตาที่แท้จริงคือนิพพาน แต่ตรงนี้ท่านไม่ใช้คำว่าอัตตานิพพาน ท่านใช้คำว่าพระนิพพาน ตรงจุดนี้เราจะต้องมีสัมมาทิฏฐิที่ชัดเจนที่สุด ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่ชัดเจนเมื่อไร เราจะติดอยู่ตรงนี้ทันทีเลย ขอเปรียบเทียบหน่อยนะ..

เรามีมือใช่ไหม ? ..ใช่ครับ.. แล้วลิงมีมือไหม ? ..มีครับ..

ถ้ามีมือ..เราโดนผูกมือได้ ลิงมีมือ..ลิงก็โดนผูกมือได้เหมือนกัน..ใช่ไหม ? ..ครับ.. ถูกต้องไหม ? ..ถูกต้องครับ.. แน่ใจนะ ? ..แน่ใจครับ..

ลิงเป็นสัตว์สี่เท้าใช่ไหม ? ..อ้าว..?? แล้วลิงจะเอามือที่ไหนมา ? ลิงมีแต่ขาสี่ข้าง แล้วเราจะไปผูกมือลิงได้อย่างไร ?

นี่คือสิ่งที่จะเปรียบเทียบให้ฟังว่า ตัวมิจฉาทิฏฐินั้น ถ้าเข้าใจผิดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะทำให้เรามุ่งไปผิดเป้าได้ ลิงเป็นสัตว์สี่เท้า ไม่มีมือ แล้วเราจะเอาอะไรไปผูกมือลิงได้ ลิงมีแต่ขาหน้ากับขาหลัง

ถ้าเราเข้าใจว่าลิงไม่มีมือ นี่คือสัมมาทิฏฐิ แต่ตอนที่เราเข้าใจว่าลิงมีมือ ก็คือมิจฉาทิฏฐิ ต่างกันอยู่แค่นี้เอง"

เถรี 20-01-2011 23:37

"ในเมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสภาพร่างกายนี้โดยจริงแท้แล้วไม่มีอะไร เป็นเพียงดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ในเมื่อไม่มีอะไร แล้วรัก โลภ โกรธ หลงที่ไหนจะมาร้อยรัดเราได้เล่า ?

ก็ทั้งหมดเป็นเพียงสมบัติของร่างกาย รัก โลภ โกรธ หลง จะมีอยู่ได้ก็เพราะอาศัยร่างกายนี้ เมื่ออยากจะมีก็มีไปสิ อยากจะอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะนั่นเป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา เราอย่าเอาใจไปยุ่งด้วยก็พอ เพราะว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีอะไรเป็นของเราเลย

ในเมื่อใจเราไม่ไปยุ่งด้วย เรารู้ชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่น้อย แล้วกิเลสอะไรจะมาร้อยรัดมัดเราได้ ? ต่อให้เป็นต้นตระกูลของกิเลส ๑๘ ชั่วโคตรก็มัดเราไม่อยู่หรอก..!

ดูท่าของขวัญปีใหม่นี้จะยากจัง แต่ความจริงแค่มองเห็นชัดนิดเดียวเท่านั้น..นิดเดียวแค่ที่เราเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย ดีชั่วทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย

แต่ที่เราสร้างความดีเพราะเขาสมมติว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี ทุกคนนิยมกันเราถึงทำ ที่เราละชั่วเพราะว่าทุกคนไม่พึงปรารถนาในความชั่วเราถึงละ เราทำดีเพราะรู้ว่าดีถึงทำ เราละชั่วเพราะรู้ว่าชั่วถึงละ แต่เราไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว เพราะไม่มีอะไรให้เกาะแล้ว แม้แต่สภาพตัวตนก็ไม่มี แล้วเราจะไปเกาะอะไรได้

ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะจบไหม ? ก็น่าจะจบนะ สรุปจบปิดบทสุดท้ายได้เลย วิทยานิพนธ์ผ่านแน่นอน"

เถรี 21-01-2011 01:13

"ตรงที่เปรียบเทียบมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิ หลวงพ่อสมนึก (ท่านพระครูสุธรรมนาถ วัดปลักไม้ลาย) ท่านอธิบายให้ฟัง อาตมาโดนท่านหลอกมาเหมือนกัน ถึงเวลาผูกมือเราก็เลยผูกมือลิงไปด้วย ตรงนี้เป็นความรู้และเป็นความดีอย่างยิ่งของท่าน ที่ชี้ให้เห็นว่ามิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐินั้นต่างกันนิดเดียว

เพราะฉะนั้น..เรารู้แล้วว่านิพพานอยู่ที่ไหน รู้โดยที่ไม่ต้องไปฝึกอภิญญาด้วย เราแค่ย้อนทวน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลับไปเป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา ก็เป็นนิพพานแล้ว แต่อย่าลืมว่าเป็นอัตตาในปรมัตถ์ธรรมนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไปยืนยันว่านิพพานเป็นอัตตาในระดับสมมติ จะกลายเป็นว่า ไปเถียงพระพุทธเจ้าเข้าเสียอีก..!

พวกเราเพียงแต่ขาดปัญญาอยู่นิดเดียว คือปัญญาที่เห็นแล้วตัดได้ ละวางได้ ก็แปลว่าในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องไปเร่งเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้ปัญญาของเราพอ จะได้ก้าวพ้นกิเลสกันเสียที"

เถรี 21-01-2011 08:02

ถาม : ถ้าบ้านเรามีนกมาทำรังดีไหมคะ ?
ตอบ : ดีจ้ะ โบราณท่านว่า ถ้าแมวมาหา หมามาสู่ ถือว่าเป็นมงคล สัตว์สี่เท้า สองเท้า ไม่มีเท้า เข้ามาก็ใช้ได้ทั้งนั้น เขาเว้นอยู่สองอย่าง คือ มังกรทองกับหงส์ทอง

ถ้าเป็นมังกรทองกับหงส์ทอง โบราณเขาให้ไปจุดธูปเชิญลงจากเรือน มังกรทองก็คือตัวเงินตัวทอง หงส์ทองก็คือแร้ง..!

เถรี 21-01-2011 08:03

ถาม : การที่เราจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง อยู่กับตัวเอง แล้วไม่โงหัวขึ้นมาดูคนรอบข้าง ไม่เงยขึ้นมาดูความเป็นจริง ก็เท่ากับว่าเราจมอยู่กับสมาธิในรูปฌานอรูปฌานด้วย ?
ตอบ : ก็ดี..จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจกับใครมาก แต่เป็นสังโยชน์ใหญ่สำหรับเราเท่านั้นเอง

ถาม : เราไม่ตั้งใจจะทรงสมาธิอะไรของเรา แต่ก็เป็นไปเอง
ตอบ : คิดว่าเราไม่เคยทรงมาสักชาติหนึ่งเลยหรือ ?

เถรี 21-01-2011 09:44

ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิ เราใช้สะดือหายใจได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่สะดือโดยตรง ต่ำกว่าสะดือลงไปหน่อยหนึ่ง

ถาม : หายใจทางผิวหนังหรือคะ ?
ตอบ : ตรงนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวม ถ้าเป็นพวกฝึกจักระ จะเป็นจุดจักกระสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ตรงนั้นหายใจแทนจมูกได้ ถ้าสังเกตเด็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดมาใหม่ ๆ เวลานอนแล้วเขาหายใจ ตรงจุดนั้นจะบุ๋มกว่าเพื่อน เพราะเขาเคยชินกับตอนที่อยู่ในท้องแม่ ที่ไม่ได้ใช้จมูกหายใจ แต่ถ้าเป็นท่านที่คล่องตัวในการทรงฌานจริง ๆ สามารถใช้ผิวหนังทุกส่วนหายใจแทนจมูกได้

ถาม : แล้วสมาธิระดับไหนจึงจะไม่ต้องหายใจ ?
ตอบ : ฌานสองขึ้นไป ความจริงยังหายใจอยู่ แต่จิตเราหยาบเกินไปจึงไม่รู้ถึงลมหายใจซึ่งเป็นปราณละเอียด

ถาม : ทำไมฌานสี่จึงรู้ว่าไม่ใช่จมูกหายใจ แต่เป็นตรงนั้นหายใจแทน ?
ตอบ : ถ้าหากคล่องตัวแล้วอย่างไรก็รู้ได้ ถ้ายังไม่คล่องตัวก็จะนิ่งเป็นตอไม้ไปเฉย ๆ

ถาม : ก็คือฌานใช้งานหรือคะ ?
ตอบ : ถูกต้อง

ถาม : แบบนี้ถ้าเราโดนฝังดินเราก็ไม่ตายสิคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ไม่ตาย พวกโยคีเขาให้ทดสอบด้วยการเอาฝังดินเป็นวัน ๆ เขาตายไหมเล่า ?

เถรี 21-01-2011 09:55

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องพระเครื่องให้ฟังว่า "เรื่องพระของหลวงปู่โต วัดระฆัง อาตมาขอยืนยันว่า ถ้าเราท่องคาถาชินบัญชรด้วยความเคารพ ถึงเวลาท่านจะเสด็จมาเอง ไม่ด้วยวิธีการใดก็วิธีการหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นอาตมาอยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง แต่ราคาสูงมาก ไม่มีปัญญา ก็เลยใช้วิธีท่องคาถาชินบัญชร อธิษฐานขอท่าน ท่องไปเรื่อย ๆ ปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว ก็ยังไม่ได้ พอท่องไปเรื่อย ๆ กลายเป็นความเคยชิน ไปได้เอาปีที่ ๑๑ แต่องค์นั้นได้มาก็ไปทันที

คนให้มา คือ คุณมนตรี เชียงอารีย์ ตอนนั้นท่านเป็นป่าไม้จังหวัดอ่างทอง ที่บ้านเล่นของเก่าจนไม่มีที่จะเก็บ ขนาดต้องเอาเทวรูปมาตั้งอยู่หน้าประตู ท่านมอบของเก่าให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไปสามร้อยกว่าชิ้น

ตอนนั้นท่านบอกว่า ติดหนี้บุญคุณอาตมาอยู่ไม่รู้จะใช้อย่างไร ก็เลยขอถวายสมเด็จวัดระฆังองค์หนึ่ง ลูกศิษย์นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นก็สะกิด อาตมาก็ส่งต่อให้เดี๋ยวนั้นเลย ป่านนี้เขารู้หรือยังว่าได้อะไรไป..!

แต่เรื่องของการเล่นพระตามเซียน เราจะต้องหูหนัก จะต้องไม่ฝ่อง่าย ๆ และต้องพยายามศึกษาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเข้าไปในสนามพระ มีแต่สารพัดเสือสิงห์กระทิงแรด พอคนแรกส่องพระก็บอกว่าของปลอม คนต่อไปส่องก็บอกว่าปลอม ปลอมไปตลอด

แบบเดียวกับทิดเก๋ (สามียายผีป่า) เขาเอาไปให้ดู พวกเซียนว่าปลอมทั้งนั้น จนกระทั่งในที่สุด เขากลับมาจะขึ้นรถ มีคนตามมาสะกิด "พี่ ๆ ขายให้ผมสักสามหมื่นเถอะ ผมจะเอาไว้ดูเนื้อเป็นตัวอย่าง" นี่ขนาดของปลอมยังให้ตั้งสามหมื่น..!"

เถรี 21-01-2011 10:26

"มีอยู่องค์หนึ่งได้มาแบบแปลกมาก ก็คือ มีโยมคณะหนึ่งแจ้งว่าจะมาถวายผ้าป่าที่เกาะพระฤๅษี คณะมีประมาณ ๒๐ คน ให้จัดอาหารกลางวันไว้ให้พวกเขาด้วย

ตอนนั้นที่เกาะก็เตรียมต้อนรับเขาอย่างดี ปรากฏว่าเขามาประมาณ ๕๐ คนได้ มาเป็นรถทัวร์เต็มคันเลย พอเลี้ยงเขาเสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่เห็นผ้าป่า ปรากฏว่าเขามาขอยืมพานใบหนึ่ง นั่งเรี่ยไรกันตรงนั้นและได้มาไม่กี่บาท หลังจากนั้นเราก็แจกวัตถุมงคล เมื่อเรายถาสัพพีเรียบร้อย หัวหน้าคณะคิดอย่างไรก็ไม่รู้ เขาถอดสมเด็จวัดระฆังที่คอถวายให้ เขารู้สึกว่าผ้าป่าได้ปัจจัยน้อยเกินไป ก็เลยถวายมา

ตอนนั้นจิมมี่ (ลูกศิษย์หลวงพี่เอ) เขาขอ อาตมาก็เลยให้ไป เขาพอที่จะรู้จักเซียนพระอยู่ จึงเอาไปให้คุณเซ้งมณเฑียรดู ปรากฏว่าพวกเซียนเขาตะลึงตาค้าง เพราะเป็นของใหม่ในวงการแถมยังงามสุด ๆ เลย

เขาถามว่า "ได้มาจากไหน ?" จิมมี่บอกไปว่า "พระอาจารย์ให้มา"

เซ้งมณเฑียรเขาถามว่า "อาจารย์มึงรู้หรือเปล่าว่าเป็นพระอะไร ?" จิมมี่บอกว่า "อาจารย์ท่านสั่งไว้ครับว่า ถ้าใครให้ต่ำกว่า ๒๐ ล้านอย่าไปปล่อย..!" คุณเซ้งบอกว่า "ถ้ายี่สิบล้านกูให้เดี๋ยวนี้เลย..!"

จิมมี่ก็ยังไม่ยอมปล่อย คุณเซ้งจึงควักสมุดเช็กขึ้นมา แล้วบอกว่า "ไอ้หนู..มึงอยากเอาเท่าไรกรอกตัวเลขเอาเองเลย" เขาอยากได้ขนาดนั้น อาตมานึกแล้วก็ขำ ถามมาได้ว่าอาจารย์รู้หรือเปล่าว่าเป็นพระอะไร ถึงให้ลูกศิษย์มาง่าย ๆ

แต่เซียนพวกนี้เขามีความอดทนมาก ถ้าเขารู้ว่าพระอยู่กับใคร เขาจะเทียวไปเทียวมาอยู่นั่นแหละ ไปชวนคุยอยู่เรื่อย ๆ ตีสนิทเข้าไว้ มีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วย เดือนหนึ่งก็แล้ว ปีหนึ่งก็แล้ว ชวนคุยจนกว่าจะใจอ่อนยอมปล่อยให้เขาไป บางทีไปก็ไม่มีอะไรหรอก ไปขอส่องดูนิด ขอส่องดูหน่อย ขอดูไว้เป็นตัวอย่าง เป็นองค์ครู เขาก็ว่าไปเรื่อย"

เถรี 21-01-2011 12:34

ถาม : ทำไมเซียนถึงให้ราคาพระขนาดนั้น ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับความพอใจ ถ้าคนเราพอใจเสียอย่าง ราคาเท่าไรก็ไม่แพง

คุณรู้หรือเปล่า ? เซียนพระที่ชื่อสุเทพ จิรวัฒน์สุนทร หรือฉายา "เทพ กำแพง" เขาเหมารังพระไปสามร้อยล้านบาท พูดง่าย ๆ ก็คือยกไปทั้งกรุเลย

ถ้าจำไม่ผิดเป็นของกำนันชูชาติ มากสัมพันธ์ "เทพ กำแพง" บุกทะลายรังไปเมื่อสามปีก่อนนี้เอง เขาตีราคารวมหมด ใหญ่เล็กเท่าไรไม่ต้องคิด ถ้าพอใจราคานี้เอาไปเลย

"เทพ กำแพง" เขาขออนุญาตทยอยจ่าย ถึงเวลาก็เอาไปปล่อยทีละองค์สององค์ องค์ไหนแบบไหนไหนที่มีใบสั่งมา ให้ราคาเท่าไรก็ทยอยปล่อยไป สรุปแล้วว่ายังได้กำไรอีกบานเบิก แถมยังมีพระดี ๆ เหลือเก็บไว้อีกต่างหาก ซึ่งเขาจะคัดเอาองค์สุดยอดชนิดที่มีหนึ่งเดียวในวงการเก็บไว้ ส่วนที่เหลือก็ทยอยปล่อยไป ได้กำไรงาม แถมได้ของดีที่เอาไปคุยได้ตลอดชีวิตไว้อีกต่างหาก

ถาม : เขาเอาเงินมาจากไหน ?
ตอบ : เอาเงินมาจากคนซื้อ เขาค่อย ๆ ทยอยปล่อย อย่างเมื่อปีที่แล้ว คุณวิชัย ศรีรักอักษร เจ้าพ่อคิงพาวเวอร์ บูชาพระเข้ากรุไปเกือบสามร้อยล้าน อย่างนี้แหละ..ที่เขาเรียกว่ามีใบสั่ง ถ้าพระสวยถูกใจ เอาไปเสนอได้เลย จ่ายไม่อั้น

อย่าง "เทพ กำแพง" พอเขาได้พระก็เอามาเสนอแล้วตกลงราคากัน เขาได้ไปทั้งกรุก็คัดเอาได้ แต่ที่ไปเสนอนั้นมักเป็นองค์สวยรองลงไป องค์ดีจริง ๆ เขาจะเก็บไว้เอง

ถาม : อย่างนี้วงการพระก็เป็นแหล่งฟอกเงินเลย..!
ตอบ : เป็นแหล่งฟอกเงินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพวกข้าราชการระดับใหญ่ ๆ กับนักการเมืองมักจะใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน

หมายเหตุ : เทพ กำแพง จอมเทคโอเวอร์รังพระแห่งยุค
http://www.tumsrivichai.com/index.ph...63631&Ntype=40


เถรี 21-01-2011 12:36

"ถ้าอยากรู้ว่าวงการพระเครื่องแสบแค่ไหน ต้องไปเข้าเว็บพลังจิต เราจะเห็นได้ชัดว่า แรก ๆ ทุกคนยังมีหิริโอตตัปปะ ยังมีศีลมีธรรมอยู่ แต่พอเรื่องของลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เข้ามา ก็ทำให้เบี่ยงเบนไปจากเดิม

บางราย แรก ๆ เอาพระไปปล่อยเพื่อทำบุญที่นั่นที่นี่ ตอนหลังพอเห็นรายได้ดีและตัวเองเอาของจริงมาจนเป็นที่เชื่อถือแล้ว ก็เอาของปลอมมาปล่อยเสียเลย คงไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นใคร เขาแทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว..!"

เถรี 21-01-2011 14:14

พระอาจารย์บอกว่า "สมเด็จพระพุทธทีปังกรและสมเด็จพระพุทธกัสสป พระองค์ท่านเป็นผู้ที่เลิศด้วยลาภมากที่สุดในจำนวนพระพุทธเจ้าด้วยกัน เพราะว่าพระองค์ท่านเริ่มการบำเพ็ญมาด้วยทานบารมี"

เถรี 21-01-2011 14:23

ถาม : นักแข่งรถ เวลาเขานั่งอยู่ในรถ เขาจะทำตัวไม่มีตัวไม่มีตน นั่นคือการใช้อรูปฌานหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การที่เขาจดจ่ออยู่แค่ว่าตัวเองทำอะไร โดยที่ไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะเจ็บจะตายหรือเปล่า สมาธิต้องเป็นระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป ถึงจะทำได้

ถาม : แค่ปฐมฌานละเอียดหรือคะ ?
ตอบ : เพราะว่าพอถึงระดับนั้นแล้ว จิตกับประสาทเริ่มจะเป็นคนละส่วนกัน จะมุ่งงานเฉพาะหน้า ไม่ได้ใส่ใจในร่างกาย คนที่ทำได้ในระดับนี้ บางทีทำงานไประยะหนึ่งแล้วหมดสภาพไปเฉย ๆ เพราะว่าลืมพักผ่อน ประเภททำข้ามวันข้ามคืนไปเลย พอถึงเวลาจะพัก ตัวเองก็ไม่ไหวเสียแล้ว งานหมดก็หมดสภาพไปเลย เขาเรียกว่ายังหาจุดพอดีของตัวเองไม่เจอ


ฉะนั้น..กำลังใจที่มุ่งมั่นขนาดนั้น พอถึงเวลาจิตกับประสาทแยกส่วนกัน ก็เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าจะต้องกลัวอะไร สมาธิระดับนั้นก็เลยกล้าที่จะขับรถด้วยความเร็วระดับสองร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง บางครั้งเข้าโค้งทีไฟแลบเลย

ถาม : ไม่ต้องถึงอรูปฌานหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าถึงอรูปฌานก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าจะไม่รับรู้ข้างนอก ถ้าไม่คล่องตัวจริง ๆ อรูปฌานจะไม่รับรู้อะไรข้างนอกเลย แล้วจะไปบังคับรถอย่างไร ? ยกเว้นท่านที่ชำนาญเป็นพิเศษ ก็คงจะเป็นหนึ่งในหลายสิบล้าน..!

ถาม : แค่ปฐมฌานจะสามารถรับรู้อะไรข้างนอกได้ ?
ตอบ : จะยิ่งรู้ละเอียด เพราะเป็นลักษณะของฌานใช้งาน โดยเฉพาะปฐมฌานละเอียด สติจะสมบูรณ์พร้อมอยู่กับตัวเอง หลับกับตื่นความรู้สึกเท่ากัน เวลาทำอะไรก็จะทำได้ดีกว่าคนทั่วไปเยอะมาก บางทีมีส่วนของความเป็นทิพย์มาช่วยคำนวณด้วย

อย่างเช่นต้องเข้าโค้งแรงแค่นี้ ต้องแตะเบรกแค่นี้แล้วรถจะไถลไปถึงมุมนั้นพอดี แทนที่จะคำนวณด้วยความชำนาญเฉพาะตัว ก็เริ่มไม่ใช่แล้ว กลายเป็นมีความเป็นทิพย์บางส่วนมาช่วยแล้ว

นักกีฬา หรือนักรบ นักต่อสู้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสมาธิมาช่วยเป็นอย่างมาก เราจะสังเกตว่า นักกีฬาบางคน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว สถิติจะเสียไปเลย หรือแพ้คู่ต่อสู้แบบยับเยินเลย

อย่างสมัยก่อนเวลารบกันไม่เหมือนกับสมัยนี้ สมัยนี้ห่างกันเป็นกิโลก็ยิงกันแล้ว สมัยก่อนต้องถือดาบถือหอกเข้าไปประจัญบานกัน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว กำลังใจลดหน่อยเดียว ก็ไม่กล้าสู้แล้ว บางทีวิ่งหนีเอาดื้อ ๆ ก็มี..!

เถรี 21-01-2011 20:25

ถาม : คนที่เขาติดยาบ้า ติดกาว มียาอะไรรักษาไหมครับ ?
ตอบ : ยาอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก ถ้าใจเขาไม่คิดจะสู้เพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น วิธีที่ดีที่สุดก็คือหักดิบ

ถาม : ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าจะให้ดีก็จับขังเอาไว้ ไม่ให้ไปไหน แต่ ๒ - ๓ วันแรกห้ามใจอ่อนกับเขาอย่างเด็ดขาดเลยนะ พอออกอาการลงแดงก็ราดด้วยน้ำเย็นบ่อย ๆ สัก ๔ - ๕ วันก็เห็นผลแล้ว

เถรี 21-01-2011 21:19

ถาม : ถ้าเราไปอยู่เมืองน้ำแข็งอย่างอลาสก้า แล้วมีสองทางให้เราเลือก ทางแรกยอมตายไปเลย ทางที่สองก็คือกินเหล้าแล้วมีชีวิตรอดได้
ตอบ : มีทางที่สาม ก็คืออย่าไป

ถาม : แต่ถ้าเราต้องไป แล้วมีให้เลือกสองข้อ
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ว่าเรายอมตัวตายดีกว่าศีลขาด หรือยอมศีลขาดเพื่อตัวรอด ถามอาตมาไม่ได้หรอก กำลังใจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนนั้นเอง

ถาม : ถ้ากินเหล้าก็ถือว่าผิด
ตอบ : เราจะไปเอาตัวเราที่อยู่เมืองร้อนไปคำนวณแทนนั้นไม่ได้ ลูกศิษย์ที่เคยไปอยู่ที่นั่นบอกว่า บางช่วงอากาศลบ ๓๐-๔๐ องศาเซลเซียส พออุณหภูมิสูงขึ้นมาเป็นลบ ๒๐ องศาเซลเซียส เขาเหงื่อแตกจนต้องอาบน้ำ

เราไม่ชินกับอากาศแบบนั้น แต่เขาชินแล้ว เขารู้สึกว่าอากาศสบายสำหรับเขาแล้ว แต่จะต้องเอาพวกไขมันสัตว์อย่างไขมันแมวน้ำ ไขมันปลา มาทาตัวทาหน้าเอาไว้เสมอ เพราะถ้าสูญเสียความชื้นไปมาก ร่างกายก็จะเสียหายมากและตายได้ง่าย ที่สำคัญก็คืออย่าลืมแว่นกันแดดเป็นอันขาด เพราะแสงแดดที่สะท้อนหิมะแรงจัดกว่าปกติหลายเท่า มีโอกาสที่จะตาบอดได้ง่าย

ถาม : ถ้าอยู่เยอรมันเขากินเบียร์แทนน้ำ ?
ตอบ : ลูกศิษย์อาตมาไปที่นั่นหลายคนแล้ว บอกให้เขากินนมสดแทน อย่าไปสั่งน้ำนะ เพราะน้ำราคาแพงมาก ให้กินนมแทน กลับมาแล้วค่อยมาลดน้ำหนักเอา

เถรี 21-01-2011 22:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง facebook อายุยังไม่เท่าไรเองเป็นอภิมหาเศรษฐีแล้ว ไม่น่าเชื่อนะ..ว่ากิเลสคนจะทำให้เขารวยได้ขนาดนี้

อ้าว..จริง ๆ นะ แค่คนเขาอยากอวดหน้าตัวเองเท่านั้น พอมีช่องให้อวด คนก็แย่งกันใช้ของเขากันใหญ่ ตัวกูของกูอย่างเดียว ทำให้เขารวยได้ขนาดนั้น..!"

เถรี 21-01-2011 23:22

ถาม : ควรจะทำกรรมฐานวันละเท่าไร ถึงจะได้สมาธิขั้นที่ต้องการ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องทำสมาธิเช้าเย็นให้อารมณ์ทรงตัว แล้วพยายามรักษาอารมณ์นั้นไว้ ถ้าคุณถามว่าวันละเท่าไร ? ๒๔ ชั่วโมงก็ไม่พอหรอก..!

สำคัญตรงที่ว่า ทำแล้วรักษาอารมณ์ให้อยู่กับเราไว้ได้ ส่วนใหญ่อารมณ์ของเรามักจะอยู่เฉพาะตอนที่นั่ง พอลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นก็หลุดหมด

ถาม : ใช่ครับ
ตอบ : หาวิธีประคองเอาไว้ ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับอารมณ์นั้น รักษาไว้ให้อยู่กับเราให้ได้ พอซ้อมไปมีความคล่องตัว ก็จะอยู่กับเราได้นานขึ้น ถ้าอยู่ได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีเมื่อไรจะมีความสุขมาก ตอนนั้นจะมีปัญญาเห็นช่องทางอีกมาก ว่าจะทำอย่างไรกับการปฏิบัติให้ตัวเองก้าวหน้า

ถาม : ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีกำลังใจ เจอมารผจญ ทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็โดนกันทั้งนั้นแหละ จำเอาไว้เลยว่า ไม่มีอะไรเกินตาย ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่าง ไม่มีใครทำอะไรเราได้หรอก..!

ถาม : ถ้าผมอยากจะประสบความสำเร็จในเรื่องที่ประสบความสำเร็จได้ยาก
ตอบ : ทุ่มเทสิวะ ไม่ทุ่มเทแล้วจะได้เรอะ..! ถ้ายิ่งยากกว่าคนปกติ ก็ต้องทุ่มเทมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

ถาม : อย่างนั้นหรือครับ เรื่องนี้ผมสองจิตสองใจอยู่ครับ
ตอบ : แค่นี้ก็ต้องกลัวด้วยหรือ ? ก็แค่เกิดนานกว่าเขาเท่านั้น ไปเถอะ..ทำก็ทำ อย่าไปถามคนอื่นเขา เอากำลังใจของเราเป็นหลัก มัวแต่ไปถามคนอื่นแล้วค่อยตัดสินใจได้ นั่นไม่ใช่ตัวตนและกำลังใจที่แท้จริงของเรา

เถรี 21-01-2011 23:25

ถาม : ผมสะสมพระเครื่องไว้บ้างนิดหน่อย บางทีเพื่อนหรือญาติเขามาขอบูชา เกิดความลังเลว่า จะคาบเกี่ยวกับการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าให้เขาบูชาไปเถอะ แล้วเราเอาเงินจำนวนนั้นมาใช้เป็นสามส่วน ส่วนแรก ใช้ในการดำรงชีวิตของตัวเอง ส่วนที่สอง ใช้เพื่องานสาธารณประโยชน์ ส่วนที่สาม ใช้ในการทำบุญ ถ้าอย่างนั้นจะไม่มีโทษอะไรกับเรา

เถรี 21-01-2011 23:40

ถาม : สมัยท่านอยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ท่านฝึกวิชารับการทุบตี (ถูกด่าถูกว่าแรง ๆ) อย่างไรคะ ?
ตอบ : หน้าด้านหน้าทนเข้าไว้ โดนเท่าไรอย่ายุบเป็นอันขาด อย่างอาตมาท่านไม่ได้ว่าเบา ๆ ท่านว่าต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ ทุกที เพราะท่านรู้ว่าสันดานของอาตมารั้นมาก ๆ ถ้าว่ากันแค่สองคน อาตมาจะฟังผ่านหูไปเฉย ๆ ท่านก็ต้องด่าต่อหน้าสาธารณชน เจอแต่ละทีไม่ใช่เบา ๆ ขึ้นโคตรพ่อโคตรแม่กันเลย..!

ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าหากท่านยังว่า ยังเตือนอยู่ แสดงว่าเรายังเป็นคนที่สอนได้ แต่ถ้าท่านไม่ว่าไม่เตือนเมื่อไร นั่นเราแย่แล้ว ไม่มีพ่อที่ไหนหรอกที่จะฆ่าลูก นอกเสียจากจะพยายามสั่งสอนให้ลูกได้ดี ในส่วนที่ท่านว่ามา เราผิดจริงหรือไม่ ? สำรวจตัวเองชัด ๆ ในเมื่อผิดจริงก็ยอมรับเสียแต่โดยดี แล้วระวังไว้อย่าให้ผิดตรงจุดนั้นอีก

เท่าที่ผ่านมา ส่วนไหนที่อาตมาผิด หลวงพ่อท่านจะด่าได้ครั้งเดียว หลังจากนั้นอาตมาจะไม่ยอมพลาดตรงจุดนั้นอีก เพราะฉะนั้น..เรื่องอะไรก็ตามที่ท่านด่าหรือว่ามา จะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นอาตมาก็กำจัดจุดอ่อน ใส่เกราะเรียบร้อย จะไม่โดนเรื่องเดิมอีก ยกเว้นไปพลาดในเรื่องใหม่

อยากได้ดีก็ต้องทุ่มเทจริงจัง ในเมื่อเราเคยพลาดตรงไหนแล้วท่านเมตตาเตือนมา เราก็ต้องใช้สติ สมาธิกับตรงนั้นให้มากกว่าปกติ เพื่อระมัดระวังไว้ไม่ให้โดนซ้ำอีก

พอมาเจอการแสดงอาบัติ (สารภาพว่าตัวเองผิดศีล) ของพระ จึงได้เข้าใจว่า ที่แท้เป็นแบบเดียวกัน เพราะการแสดงอาบัติของพระจะมีว่า

นะ ปุเนวัง กะริสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่ทำอย่างนี้อีก

นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่พูดอย่างนี้อีก

นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ ข้าพเจ้าจะไม่คิดอย่างนี้อีก

กลายเป็นว่าสิ่งที่เราเคยระมัดระวังเพราะหลวงพ่อท่านเคยดุเคยว่าเอาไว้ มาตรงกับสิ่งที่พระตั้งแต่โบราณเขาแสดงคืนอาบัติกัน เมื่อแสดงแล้วเราจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดตรงนั้นอีก

เถรี 21-01-2011 23:53

ถาม : การนั่งสมาธิ ต้องเกิดปีติทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : เกิด เพียงแต่จะเกิดเป็นปีติตัวไหน

ถาม : ในห้าอย่างหรือครับ ?
ตอบ : ในห้าอย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง

ถาม : แล้วคนที่ไม่เคยเจอเล่าครับ ?
ตอบ : ไม่เคยเจอเลยมีสองประการด้วยกัน ประการแรก ในอดีตเคยทรงฌานมาแล้ว คล่องตัวมาก จะข้ามตัวปีติไปเป็นฌานเลย ประการที่สอง มาสายสาวกภูมิที่หัวอ่อนสุด ๆ บอกอะไรเชื่ออย่างเดียว อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจอปีติก็ได้
ถาม : หัวอ่อนสุด ๆ ?
ตอบ : ประเภทว่าอะไรเชื่ออย่างเดียว บอกให้ทำก็ทำ ไม่มีการโต้แย้ง ไม่มีความสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

ถาม : ถ้าเกิดนั่งภาวนาพุทโธ หรือ นะมะพะธะ แล้วไม่ได้กำหนดภาพพระ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่กำหนดลมหายใจเข้าออกก็ไม่มีผล ภาวนาไปก็เหนื่อยเปล่า

ถาม : ทำแค่กำหนดลมหายใจและคำภาวนาละครับ ?
ตอบ : เกินพอแล้ว ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้นแหละ ถ้าทำจริงเดี๋ยวผลก็เกิดเอง

ถาม : ผลที่เกิดมีอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรก ทรงฌานได้ รัก โลภ โกรธ หลง ก็โดนกดดับชั่วคราว อันดับที่สอง ใช้กำลังฌานในการพิจารณาตัดกิเลส อันดับที่สาม ถ้าทรงฌานสี่ละเอียดได้ ถึงเวลาต้องการจะตายเมื่อไรก็ไปได้เมื่อนั้น

น่าสนใจนะ ถ้าทรงฌานสี่คล่องตัวได้ จะตายเมื่อไรก็ตายได้ ท่านทั้งหลายจึงสามารถที่จะบอกได้ว่าจะตายตอนไหน เพราะถ้าเราเข้าฌานสี่ไปแล้ว สภาพร่างกายเราเหมือนกับหยุดทำงานหมด แม้กระทั่งลมหายใจก็ไม่มี พอเราออกจากฌานสี่ แล้วเราไม่หายใจใหม่ก็จบแล้ว ท่านไปกันตอนนั้นแหละ..!

พระพุทธเจ้าเวลาเข้าฌานก่อนที่จะดับขันธปรินิพพาน พระองค์ท่านเข้าฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ หลังจากนั้นก็ถอยลงมา ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ แล้วเข้า ๑ ๒ ๓ ๔ จากนั้นก็ปรินิพพานตอนนั้น นั่นคือเข้าฌานสี่เป็นฌานสุดท้าย พอคลายออกก็ไปเลย..เลิกหายใจ..!

เถรี 22-01-2011 00:00

ถาม : ผมเคยเปิดเว็บ เจอที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ผมก็เลยสงสัย ?
ตอบ : เอาเป็นอันว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนในตระกูลไท ถ้าใช้คำว่าเป็นคนไทย เราจะไปคิดว่าพระองค์ท่านเป็นคนในประเทศไทย แล้วจะเตลิดไปถึงขนาดเกิดในเมืองไทยไปด้วย..!

อย่าลืมว่าไทยมีสารพัด ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยพวน ไทยอาหม ไทยลื้อ ไทยเขิน เป็นคนในตระกูลไท เพราะบ้านเราเมืองเราเพิ่งจะเป็นประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ ๖ นี่เอง ก่อนหน้านั้นเป็นสยาม ถัดจากนั้นขึ้นไปก็ยังเป็นอโยธยา เป็นสุโขทัย ยังไม่ใช่ประเทศไทยในปัจจุบัน

ถาม : ก็คือไม่ใช่แขกตัวดำ ๆ ตามที่เราเข้าใจ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เพราะสมัยก่อนผู้คนสามารถไปถึงกันหมด โดยที่ไม่มีเขตแดนประเทศเป็นเครื่องขีดคั่น จะมีเครื่องขีดคั่นขึ้นมาก็ต่อเมื่อมีใครสักคนหนึ่งตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมา แล้วก็ขยายอาณาเขตครอบครองออกไปว่าถึงตรงไหน

แต่สมัยก่อนก็ยังไม่แน่ชัดเหมือนกับสมัยนี้ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ระหว่างรอยต่อ ระหว่างแดนต่อแดน ก็คือคนเชื้อชาติเดียวกัน เพียงแต่โดนกำหนดให้อยู่กันคนละเขตกันเท่านั้นเอง

ภาษาไทยกับภาษาลาว ก่อนหน้านี้คือภาษาเดียวกัน มาพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพราะไทยกรุงเทพฯ ภาษาไทยที่แท้จริงคือภาษาแบบอีสาน ภาษาไทยกรุงเทพฯ ของเราเป็นภาษาไทยแบบเหน่อเจ๊ก คนจีนพอมีมาก ๆ เข้า พูดไทยแล้วไม่ชัดไปเรื่อย ๆ แต่จำนวนคนเขามีมากกว่า ยิ่งมีฐานะดีกว่าด้วย จะพูดจะทำอะไรก็มีคนเลียนแบบทำตาม ภาษาไทยแบบจีนจึงพัฒนามาเป็นภาษาหลักอย่างในปัจจุบัน

ยิ่งเป็นส่วนกลางที่ควบคุมทางภูมิภาคอยู่ด้วย เขาก็เลยเอาเป็นภาษาหลัก กลายเป็นภาษาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาไทย ขณะเดียวกันภาษาไทยดั้งเดิมก็ไปว่าเขาเป็นภาษาลาวบ้าง คำเมือง (ภาษาเหนือ) บ้าง

เถรี 22-01-2011 00:09

ถาม : สถานที่ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน อยู่ที่นั่นจริงหรือครับ ?
ตอบ : มีอยู่จริง แต่บางจุดก็ไม่ตรง ห่างจากสถานที่จริงหลายกิโลเมตร แต่เราต้องมาดูวัตถุประสงค์ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า บุคคลที่ได้ไปไหว้สังเวชนียสถานทั้ง ๔ จะได้เป็นอนุสติระลึกนึกถึง ในเมื่อเรายึดเป็นอนุสติแล้วจะไหว้ตรงไหนก็ได้ ขอให้ไหว้แล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ก็พอแล้ว

ถาม : โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยเชื่อว่าอยู่ในอินเดีย เพราะในร่องรอยไม่ค่อยเหลือแล้วตรงนั้น
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าสักที ต่อไปเขาก็จะไม่เชื่อว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เพราะอิสลามบุกเข้าไปทำลายหมด เขาไม่ได้เผาเฉย ๆ แต่โกยดินกลบด้วย ตอนที่เขาขุดมหาวิทยาลัยนาลันทาขึ้นมา อยู่ใต้ดินเกือบสามเมตร..!

รัฐพิหาร รัฐเดียวมีวัดอยู่สามหมื่นกว่าวัด จนเขาเรียกว่ารัฐพิหาร โดนเขาทำลายเกลี้ยงไม่เหลือ คุณลองดูอินโดนีเซีย บรมพุทโธ (บุโรบุโด) เป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่โตมาก แต่เหลืออะไรบ้างนอกจากตัวบรมพุทโธอย่างเดียว นอกนั้นเป็นอิสลามหมด

อัฟกานิสถานก่อนหน้านั้นเป็นเขตประกาศศาสนาของศาสนาพุทธเต็ม ๆ เลย ปัจจุบันแม้แต่พระพุทธรูปใหญ่เขาก็ทำลายทิ้งหมด หลวงจีนฟาเหียน ท่านบันทึกเอาไว้ว่า มีพระนอนยาวถึงสามร้อยศอก แต่เขายังหากันไม่เจอ เจอแต่พระยืนและโดนพวกตาลีบันทำลายเรียบร้อยไปแล้ว

เถรี 22-01-2011 01:49

ถาม : หนูนอนแล้วฝันไม่ค่อยดี ตื่นขึ้นมาหมดแรง ปวดเมื่อย หนูทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ จริง ๆ เวลาฝัน คือกายในเราออกไป พอกายในออกไป ถึงเวลาเราเกิดฝันว่าหนีอะไร หรือกลัวอะไร เราก็จะเหนื่อยเหมือนตัวจริง ให้ใช้วิธีภาวนาให้หลับ นึกถึงลมหายใจเข้าออก พุทโธ ๆ ๆ ให้หลับ จนคล่องตัวแล้วจะไม่ฝันจ้ะ ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะช่วยได้เยอะ

เถรี 22-01-2011 10:41

ถาม : ก่อนหน้านี้ที่ปฏิบัติอยู่ จะเป็นอารมณ์ในการตัดสินใจ พอเราตัดสินใจไปแล้ว ก็เหมือนกับว่าเราห่างจากสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น ตอนที่เราตัดสินใจเกิดจากการที่เราเห็นโทษ กลายเป็นว่าเวลาที่เราคิดใคร่ครวญทำอะไร ก็จะอยู่ตรงแค่ทำไปแล้วเป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันก็มีโทษหรือไม่ ? จากนั้นก็ตัด แล้วเลือกเอาแต่ในส่วนที่ดีเท่านั้น ในส่วนที่เป็นความชั่วจะหยุดไปเอง เป็นลักษณะอย่างนี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างที่เคยบอกไว้ว่า ให้ละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ เดี๋ยวพอท้าย ๆ ก็จะไม่เอาทั้งดีทั้งชั่ว น่ากลัว..น่ากลัวตรงที่ว่า พอท้าย ๆ แล้วจะไม่อยากอยู่บ้าน อยากไปอยู่วัดหรืออยู่ป่ามากกว่า..!

ถาม : ตอนนี้หนูอยากจะไปอยู่ป่าเต็มทีแล้ว
ตอบ : พอถึงเวลานี้เหมือนกับมุมมองหรือโลกทัศน์ของเรากลับข้างกับคนอื่น สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าสุข เราจะเห็นว่าทุกข์ สิ่งที่คนอื่นเขาเห็นว่าดี เราก็เห็นว่ายังไม่ดีจริง ทำให้อยู่กับคนอื่นลำบาก มีอยู่ทางเดียว..ถ้าไม่เตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเข้าดง ก็ต้องไปอาศัยอยู่วัดเลย

ถาม : บางทีเวลาเราไปอยู่กับคนที่กำลังใจไม่เท่ากัน เขาจะมองเราอีกอย่างหนึ่ง พอเขามองเราอีกอย่างหนึ่ง กลายเป็นว่าเขาจะสร้างโทษให้แก่ตัวเขาเอง เราก็ไปดีกว่า
ตอบ : ไปห่าง ๆ เสียจะดีกว่า แสดงว่าตอนนี้อาการของเราหนัก หมอคงไม่รับรักษาแล้ว..!

ถาม : หนูไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นฆราวาส
ตอบ : ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงเลย ว่าอย่างนั้นจะดีกว่า จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรหรอก สิ่งภายนอกนั้นเป็นแค่สมมติเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของเรา จากสภาพภายในจิตใจของเรา ก็จะโยงออกมาถึงกายภายนอก

ถาม : เหมือนกับจิตเราอยู่คนละภพภูมิกับคนอื่น
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าดีก็แล้วกัน เดี๋ยวกลายเป็นอย่างเรื่องอีตอแหล แล้วโดนกิเลสตีกลับอีก..!

ถาม : คนอื่นคุยกับเราได้ แต่เราหาคนที่คุยกับเราไม่ได้
ตอบ : บางระยะอาตมาเองก็ต้องฝืนใจอย่างมากเลย เพราะเรื่องที่เขาคุย ไม่ได้ไปทางเดียวกับเรา พอเขาคุยจบ เราก็ตัด..เดินจากไปเลย เหมือนกับเสียมารยาท ก็เลยดูค่อนข้างจะเป็นคนแปลก ๆ ในหมู่เพื่อนฝูง

ถาม : หนูหาคนคุยไม่ได้ ก็เลยจะขอคุยกับท่าน
ตอบ : ไม่ต้องคุยหรอก คุยไปก็เท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะคุย รีบ ๆ ไปทำวิทยานิพนธ์ให้จบ จะได้โกนหัวเข้าวัดเร็ว ๆ

ถาม : ตอนแรกจะทิ้งวิทยานิพนธ์แล้วไปเข้าป่า
ตอบ : ให้เรียนจบก่อน โลกต้องไม่ช้ำ ธรรมต้องไม่เสีย ลงทุนไปขนาดนั้นแล้ว อาตมายังรู้สึกมีรสชาติกับชีวิตในการเรียนอยู่เลย เราจะมาหมดรสชาติได้อย่างไร ?

เถรี 22-01-2011 10:46

ถาม : ตั้งแต่เข้าสู่ปีใหม่นี้ หนูโดนผีบีบคออยู่ทุกวัน ถ้ามาเป็นเจ้ากรรมนายเวรหนูก็พอรับได้ แต่พวกมาแล้วบีบคอ ทับอก นี่รับไม่ค่อยได้
ตอบ : เขาแค่มาทดสอบ สำคัญว่าตอนนั้นอารมณ์ใจเราเป็นอย่างไร อย่างอาตมาโดนทดสอบมาสามปี จนเขาหมดอารมณ์ก็ไปเอง ตอนนั้นอาตมาไม่เคยนึกถึงความดีอะไรเลย สู้อย่างเดียว..!

ถาม : หนูก็สู้อย่างเดียวค่ะ กลายเป็นว่าทุกวันนี้ตอนกลางคืน หนูต้องนอนกำพระขรรค์โสฬส เพราะเป่านะโมพุทธายะเขาก็ไม่ไป แผ่เมตตาเขาก็ไม่ไป พอกำพระขรรค์โสฬสเขากลับยอม
ตอบ : แสดงว่ายังเกรงใจอยู่ ของอาตมาเองไม่ได้กำอะไรเลย ตอนนั้นนอนภาวนาอย่างเดียว เขามาเมื่อไรก็ฟัดกันกระจายอยู่ตรงนั้น

ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเขาเหนือกว่าเราทุกกระบวนท่า เพราะเราจะทำอะไรเขารู้หมด แค่เราคิดจะทำอะไร ยังไม่ทันจะขยับ เขาก็ไปดักไว้ก่อนแล้ว แต่ว่าก็ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ สามปีเต็ม ๆ ที่ตีกันมาทำให้มีความคล่องตัวมาก ต่อไปให้ไปฟัดกับใคร รับรองว่าไม่เป็นรองเขาหรอก เพราะจะมาไม้ไหนก็ต้องแก้ให้ทัน แล้วพยายามตอบโต้กลับไป ไม่ยอมขาดทุนอยู่ฝ่ายเดียว

สรุปว่าตลอดสามปีเทวดาทดสอบแล้วเหนื่อยเปล่า เพราะอาตมาไม่ยอมนึกถึงความดีอะไรเลย สู้อย่างเดียวจริง ๆ..!

ถาม : หนูก็เป็นคนที่คุยไม่เป็น ไม่ใช่ทูตสัมพันธไมตรีที่จะต้องมาเจรจากับใคร
ตอบ : เขาเรียกว่า เหมือนหมาป่ากับลูกแกะ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุ เขาก็หาเหตุมาจนได้ ก็คือ เขาตั้งใจจะแกล้งอยู่แล้ว อยากรู้ว่าอารมณ์ใจของเราไปถึงขั้นไหน อาตมาเองพอเรื่องจบถึงมานึกถึงคำพูดหลวงพ่อวัดท่าซุงได้ หลวงพ่อท่านว่า "ถ้าเรานึกถึงความดีอะไรได้สักอย่าง เขาก็จะเลิกแกล้ง" แต่ทำไมในหัวคิดของอาตมาไม่มีความดีอะไรที่จะนึกเลยแม้แต่นิดเดียว รู้อยู่อย่างเดียวว่าเอ็งมาแกล้งข้าจะสู้ ไม่เอาอย่างอื่นเลย...

นี่เป็นสันดานเฉพาะตัว สู้มาตลอดทุกยุคทุกสมัยก็เลยไม่ยอม นึกอยู่อย่างเดียวว่า เอ็งจะแน่สักแค่ไหนวะ..?! สามปีสู้อย่างเดียวจริง ๆ

เถรี 22-01-2011 19:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เป็นปัญหาปากท้องของประชาชน เนื่องจากข้าวของทุกอย่างจะแพง

น้ำมันราคาแพงแล้วของแพง..เราเข้าใจ แต่น้ำมันแพงแล้วของไม่มีขายและราคาแพง...พวกเราไม่ค่อยเข้าใจ เนื่องจากปีนี้จะแล้งนาน ในเมื่อแล้งนาน นาปรังที่เคยทำก็จะได้ผลน้อย นาปีก็ไม่รู้ว่าจะได้สักเท่าไร โดยเฉพาะพวกที่ทำสัญญาขายข้าวให้กับต่างประเทศล่วงหน้า

สมมติว่าทำสัญญาขายข้าวไว้หนึ่งร้อยตัน ถึงเวลาเขาก็ต้องไปกว้านข้าวให้ได้หนึ่งร้อยตันเพื่อส่งให้ตามสัญญา จะส่งผลให้บ้านเรามีข้าวเหลือน้อยแล้วราคาจะแพง ในเมื่อแล้งมาก พืชผลต่าง ๆ ก็จะได้ผลน้อย สมมติว่าเคยปลูกอ้อยหนึ่งไร่ได้ผลร้อยตัน ก็จะลดน้อยลงไปมาก กลายเป็นว่าข้าวของอย่างอื่นก็จะแพงไปด้วย

ปัจจุบันบ้านเรามักจะทำการเกษตรเชิงเดี่ยวกันมาก ก็คือ ปลูกของอย่างเดียว อย่างเช่น ปลูกยางพาราอย่างเดียว ปลูกมันสำปะหลังอย่างเดียว ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างเดียว ของพวกนี้ถ้าขายไม่ออก เราเองจะกินก็ไม่ได้ ก็จะเดือดร้อนกันมาก

ปีนี้จึงเป็นปีที่น่าเป็นห่วงมาก กำลังรอดูว่า ในหลวงจะทรงมีพระราชดำริอะไรออกมาเพื่อช่วยเหลือพวกเราบ้าง เรื่องของรัฐบาลไม่ต้องไปหวังหรอก เอาตัวรอดจากสารพัดเรื่องไปวัน ๆ ได้ ไม่ทำให้ขายหน้าชาวโลกเขาก็พอแล้ว"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว